เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. กระติก-อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบอัยการจังหวัดนนทบุรีว่า อัยการจังหวัดนนทบุรี เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไป ส่วนตัวอยากเดินหน้าต่อและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะหากเลื่อนออกไปบุคคลภายนอกสำนวนจะเข้ามายุ่งเกี่ยวและวุ่นวายกับคดี ส่วนระยะหลังเริ่มมีคนฟ้องร้องก็ยิ่งออกทะเล ประเด็นงอกขึ้นมาเรื่อยๆ และเป็นประเด็นซ้ำ เข้าใจว่าอัยการจะต้องทำให้สิ้นข้อสงสัย ส่วนกรณีที่นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน หรือ แม่แตงโม จะถอนฟ้องนั้น ทราบผ่านทางสื่อแต่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะข้อมูลเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

“หลังจากนี้จะเดินหน้าฟ้องร้องบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุการณ์บนเรือเป็นเหตุฆาตกรรม หนึ่งในนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ดำเนินการแล้ว 10 ราย และเตรียมดำเนินการเพิ่มอีก 5 ราย ยืนยันว่าทำเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง เอาไว้ไปสู้ในชั้นศาล การพูดผ่านรายการบางอย่างไม่ใช่เรื่องจริง เก็บปากไปใช้ในศาลดีกว่า”

ส่วนประเด็นที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมอ้างว่า มีคลิปที่ส่อถึงเหตุฆาตกรรมบนเรือ กระติก ระบุว่า ก็รอให้เปิดเผยออกมาอยู่ จะได้เข้าสู่กระบวนยุติธรรมต่อไป หากคุณมีหลักฐานทุกอย่างก็จบ ส่วนจะมีหลักฐานจริงหรือไม่ ขอไม่ออกความเห็น

นอกจากนี้ กระติก ยังตั้งข้อสังเกตถึงหลักฐานที่นายอัจฉริยะอ้างนั้นว่า แม่ซึ่งเป็นผู้เสียหายสมควรจะได้เห็นหลักฐานพวกนี้ แปลกไหมที่ผู้เสียหายไม่ได้เห็นคลิปและหลักฐานอะไรเลย ทั้งที่แม่จะต้องเป็นคนฟ้องหลักที่จะฟ้องเอาผิดพวกตน ซึ่งคุณก็ต้องเอาให้เขาเห็นด้วยว่ามีหลักฐานอะไร แน่ใจหรือไม่ว่าเป็นการฆาตกรรม โดยกระติกตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า ถ้าเราจะเป็นคนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ เราก็ต้องแสดงให้เห็นว่า มันมีการถูกทำร้ายหรือฆาตกรรมจริงๆ ก็ต้องชัดเจน ซึ่งการไม่มีความชัดเจน ก็อาจจะทำให้คุณแม่สับสนได้

ขณะที่ แซน-วิศาพัช เปิดเผยว่า ตนเองอยากให้คดีมีบทสรุปแล้วเช่นเดียวกัน เพราะมองว่าคดีเกิดขึ้นมานานมากแล้ว และตนเองถูกต่อว่า ถูกเรียกว่าเป็นฆาตกร ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง

ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะบอกว่ามีหลักฐานว่าคดีนี้เป็นการฆาตกรรมนั้น แซน ระบุว่า จะมีได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครทำอย่างที่ถูกกล่าวหา จึงเชื่อว่าเป็นการพูดเพราะหาทางลงไม่ได้มากกว่า

ด้านนายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความ ระบุว่า วันนี้อัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไป โดยขอให้อัยการเป็นผู้ให้รายละเอียด ส่วนการสอบเพิ่มเติมที่อธิบดีอัยการภาค 1 สั่งสอบนั้น เป็นเรื่องในสำนวนปกติที่สั่งให้เก็บเพิ่มเติม ส่วนมหกรรมการฟ้องคดีกลับ ยืนยันว่ามีแน่นอน โดยรอให้ข้อเท็จจริงในคดีหลักนิ่งก่อน และเมื่อทุกอย่างนิ่งแล้วเท่ากับจะปฏิเสธอะไรไม่ได้แล้ว ทำให้อีกฝ่ายไปต่อไม่ได้ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับตามที่เคยระบุไว้.