เมื่อวันที่  5 ส.ค. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้นัดหมายนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พชปร.) พร้อมกันที่บริเวณหน้าบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อยื่นหนังสือต่อนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานคณะกรรมการบริหารของไทยเบฟเวอเรจ ให้ช่วยซื้อที่ดินมารดาของตนเอง 100 ไร่ เฉลี่ยไร่ละ 6 ล้านบาท รวมเป็นทั้งสิ้น 600 ล้านบาท เพื่อนำไปบริจาคช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ปรากฏว่าบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ได้ปิดทำการ เนื่องจากต้องทำตามมาตรการรัฐบาล Work Form Home จึงได้ยื่นได้หนังสือไว้กับหัวหน้าเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยแทน

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ตนเป็นเขยของนายโกเมน ตันติวิวัฒนพันธ์ ผู้ถือหุ้นบริษัทไทยเบฟอันดับสอง แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ยังถือหุ้นอยู่ ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือกับนายเจริญในครั้งนี้ พร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในการรับซื้อที่ดินบ่อตกปลาของบิดา พล.อ.ประยุทธ์ ในราคา 600 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน หวังว่านายเจริญ จะช่วยซื้อที่ดินของตนในครั้งนี้ ส่วนกรณีที่เชิญนายเรืองไกร มาในครั้งนี้นั้น เนื่องจากต้องการจะให้นายเรืองไกร รับทราบเหตุการณ์ในวันนี้ จะได้ไม่ต้องไปพูดพร่ำเพรื่อว่า ตนเอาเงินจากไหนมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

นายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้ทำหนังสือเตรียมร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบนายเรืองไกรกรณีรถเบนซ์หรูเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นให้กับทั้งสองหน่วยงาน เนื่องจากหน่วยงานดังกล่าวอยู่ในขณะ Work Form Home ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ยื่นร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการกระทำของตนเอง เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมือง อาจทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากบิดเบือนข้อมูลเรื่องซื้อรถเบนซ์หรูนั้น มองว่าเป็นสิทธิที่นายเรืองไกร จะยื่นฟ้องร้องได้ แต่สิ่งที่นายเรืองไกร ต้องเปิดเผยว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ซื้อรถเบนซ์หรูให้คือใคร ไม่ใช่มาไล่ฟ้องร้องคนอื่นกลับแบบนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ได้เดินทางมาที่หน้าบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ตามที่นายยุทธพงศ์ ได้นัดหมายไว้ แต่ไม่ได้เข้าไปภายในบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ แต่ได้จอดรถไว้อยู่หน้าบริษัท ริมถนนวิภาวดีรังสิต เนื่องจากเกรงว่า หากเดินทางเข้าไปในบริษัทเอกชนแบบไม่ได้มีการนัดหมายอาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายได้

ทันทีที่นายยุทธพงศ์ ยื่นหนังสือเสร็จสิ้น ได้เดินทางมาหานายเรืองไกร และพยายามบอกให้นายเรืองไกร หันหน้าเข้ามายังบริษัทไทยเบฟเวอเรจ เพื่อแสดงให้รู้ว่าเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ซึ่งนายเรืองไกร ได้ถามนายยุทธพงศ์ ว่า ภรรยามาด้วยหรือไม่ และช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นภรรยาของนายยุทธพงศ์ ทำให้นายยุทธพงศ์ มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนสบถกับนายเรืองไกร ว่า จะดูใบทะเบียนสมรสหรือไม่ ถ้าจะดูจะเอาให้ดู ก่อนจะควักใบสำเนาใบทะเบียนสมรสออกมาให้ดู

จากนั้น ได้เกิดการโต้เถียงกันไปมากรณีการยื่นเรื่องฟ้องต่อ ป.ป.ช.และ ปปง. โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวด้วยอารมณ์ว่า สำนักงานทั้งสองปิดทำการ แต่นายเรืองไกร กล่าวว่า สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ ทำให้นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า “ผมนะคนจริง ต้องเดินทางไปจริง และได้แยกย้ายกันเดินทางกลับในเวลา 10.45 น.”