นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมติดตามผลการเปิดใช้เส้นทางที่อนุญาตให้รถวิ่งได้ 120 กม./ชม. และความคืบหน้าการขยายเส้นทางที่จะเปิดใช้ในระยะถัดไป เมื่อวันที่ 4 ส.ค.64 กรมทางหลวง (ทล.) ได้นำเสนอผลการใช้งานประชาชนบนทางหลวงหมายเลข 32 (ถนนเอเชีย) สายบางปะอิน-หยุหะคีรี (ช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน-ทางต่างระดับอ่างทอง) ระหว่าง กม.4+100-50+000 ระยะทาง 45.9 กม. เมื่อวันที่ 1 เม.ย.64 

พบว่าผู้ขับขี่ได้ใช้ความเร็วตามความเร็วจำกัดในแต่ละช่องทางดีขึ้น โดยตรวจสอบจากสัดส่วนยานพาหนะที่วิ่งด้วยความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดในแต่ละช่องทาง พบว่ามีการฝ่าฝืนการใช้ความเร็วในแต่ละช่องจราจรลดลง เทียบกับก่อนการบังคับใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. ทั้งนี้กองบังคับการตำรวจทางหลวงได้รายงานว่า ในช่วงเส้นทางดังกล่าวมีการบังคับใช้กฎหมายและมีการออกใบสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ได้ประชุมกำหนดแผนที่จะเปิดเส้นทางที่อนุญาตให้ประชาชนผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดเพิ่มเติมอีก โดยมีเส้นทางตามแผนอีก 14 เส้นทาง รวมระยะทาง 246 กม. ดังนี้ ระยะที่ 2 จะเปิดให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 เป็นต้นไป 6 สายทาง ระยะทางรวม 132.13 กม. ประกอบด้วย 1.ทล. 1 (สนามกีฬาธูปะเตมีย์-ประตูน้ำพระอินทร์)  กม.35+000-45+000 จ.ปทุมธานี 10 กม. 2.ทล. 1 (หางน้ำหนองแขม-วังไผ่) กม.306+640-330+600 จ.นครสวรรค์ 23.96 กม.

3.ทล. 2 (บ่อทอง-มอจะบก) กม.74+500-88+000 จ.นครราชสีมา 13.5 กม. 4.ทล. 32 (อ่างทอง-โพนางดำออก) กม.50+000-111+473  จ.อ่างทอง และ จ.สิงห์บุรี 61.473 กม. 5.ทล. 34 (บางนา-ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) กม.1+500-15+000 จ.สมุทรปราการ 13.5 กม. และ 6.ทล. 304 (คลองหลวงแพ่ง-ฉะเชิงเทรา) กม.53+300-63+000 จ.ฉะเชิงเทรา 9.7 กม.  

ส่วนระยะที่ 3 จะเปิดให้ใช้ได้ตั้งแต่ 1 ม.ค.65 เป็นต้นไป 5 สายทาง รวม 65.472 กม. ประกอบด้วย 1.ทล.4 (เขาวัง-สระพระ) กม.160+000-167+000 จ.เพชรบุรี 7 กม. 2.ทล. 4 (เขาวัง-สระพระ) กม.172+000-183+500 จ.เพชรบุรี 11.5 กม. 3.ทล. 9 (บางแค-คลองมหาสวัสดิ์) กม. 23+000-31+872 เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 8.872 กม.

4.ทล. 35 (นาโคก-แพรกหนามแดง) กม.56+000-80+600 จ.สมุทรสงคราม 24.6 กม. และ ทล. 219 (สตึก-หัวถนน) กม. 108+500- 122+000 จ.บุรีรัมย์ 13.5 กม.ขณะที่ระยะที่ 4 จะเปิดให้ใช้ได้ 1 เม.ย.65 เป็นต้นไป 3 สายทาง รวม 48.5 ประกอบด้วย 1.ทล.1 (หนองแค-สวนพฤกษศาสตร์พุแค) กม. 79+000-105+000 จ.สระบุรี 26 กม. 2.ทล. 347 (เทคโนโลยีปทุมธานี-ต่างระดับเชียงรากน้อย) กม. 1+000-11+000 จ.ปทุมธานี 10 กม. และ 3.ทล. 219 (สตึก-หัวถนน) กม. 122+000-134+500 จ.บุรีรัมย์ 12.5 กม.   

โดยเส้นทางที่ดำเนินการในระยะต่อไปได้ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) โดยจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และ ทล. ภายในเดือน ส.ค.นี้ ที่กระทรวงคมนาคม ทั้งนี้กำชับให้ดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมาตรการทางสาธารณสุขและประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้ ทล.ประชาสัมพันธ์และสื่อสารให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ทั้งในมิติของเส้นทางที่จะดำเนินการ และวันที่ที่ประชาชนจะสามารถใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กม./ชม. ได้ตามกฎกระทรวง และ ประกาศผู้อำนวยการทางหลวง เพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างทั่วถึง และถูกต้องต่อไป 

นอกจากนี้ได้ติดตามความคืบหน้าโครงการยกระดับความปลอดภัยบนทางหลวงสายหลัก 47 เส้นทาง รวมระยะทาง 863 กม. แบ่งเป็นเส้นทางในภาคเหนือ 9 เส้นทาง 186 กม. เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 เส้นทาง 96 กม. เส้นทางภาคกลาง 15 เส้นทาง 288 กม. เส้นทางภาคตะวันออก 9 เส้นทาง 177 กม. และเส้นทางภาคใต้ 7 เส้นทาง 116 ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างกำแพงคอนกรีต สะพานกลับรถหรือทางลอดกลับรถ สะพานคนเดินข้าม พร้อมทั้งปรับปรุงกายภาพ เส้นทางให้ปลอดภัย สามารถรองรับความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. โดยได้กำชับให้ ทล. เตรียมการออกแบบให้เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนผู้สัญจรใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัยต่อไป