จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ก.ค. เกิดเหตุคนร้ายขโมยพญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์ เนื้อโลหะ สีดำ ซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในซุ้มด้านหน้าบริเวณทางเข้าอาคารสำนักงานสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ตั้งอยู่ภายในเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ไป 1 องค์ ทั้งที่เป็นเขตทหารแท้ๆ คาดว่าคนร้ายคงอาศัยช่วงวันหยุดยาวเข้ามาขโมยพญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ส่วนพญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาคู่กันไม่ถูกขโมยไป

ต่อมาวันที่ 29 ก.ค. นายสมเกียรติ พันชนะ อายุ 45 ปี รปภ.สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ณัฐธนพล อินทรเรืองศร สารวัตร (สอบสวน) สภ.ปากเกร็ด ว่า ขณะเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้มีคนร้ายเป็นชายขี่รถจยย.เข้ามาก่อเหตุรักองค์พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์หลบหนีไป ขณะที่ น.ส.แสง พงษา เจ้าหน้าที่ รปภ. โครงการสงเคราะห์องค์การทหารผ่านศึก กล่าวว่า องค์พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์ กับองค์พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์ เพิ่งอัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อปีที่แล้วแทนองค์เดิมไม่คิดว่าจะถูกคนร้ายลงมืออย่างอุกอาจเข้ามาขโมยไป ซึ่งทางหัวหน้า รปภ.ได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว และอยากให้จับคนร้ายได้โดยเร็ว

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ปากเกร็ด อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ซึ่งติดอยู่หน้าสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศจำนวนหลายตัว เพื่อเป็นแนวทางในการติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้

ทางด้าน พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีโจรขโมย พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์ ที่ประดิษฐานซุ้มหน้า อาคารสำนักงาน สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) กระทรวงกลาโหม เป็นเนื้อโลหะที่มีความสูงประมาณ 10 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว จำนวน 1 องค์ ว่าน่าจะตามตัวได้ เพราะมีกล้องวงจรปิดจำนวนมาก และต้องเร่งประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว เบื้องต้นต้องสอบสวนก่อนว่า เป็นการกระทำของบุคคลภายใน หรือคนนอก และพิสูจน์ทราบจากทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าน่าจะไม่ยากมาก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิด ทั้งภายในและภายนอกหลายตัว เรื่องนี้ รปภ.สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากเกร็ด แล้ว