เมื่อวันที่ 18 ส.ค. พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่าที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติให้ยุติเรื่องกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอให้พิจารณาและมีความเห็นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวไม่ใช่การขอให้พิจารณาว่าบทบัญญัติของกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 มาตรา 23(1) กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่เป็นเรื่องของคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ให้ กกต.หรือ ส.ส.จำนวน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระอื่น ที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินมาตรา 37(4) กำหนดห้ามไม่ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา โดยขณะนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ระหว่างการจัดทำคำวินิจฉัยและมีหนังสือแจ้งผู้ร้อง

พ.ต.ท.กีรป ขยายความว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 มาตรา 23(1) กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เมื่อเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่ง “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” หมายถึง กฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว และประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่มีผลใช้บังคับเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ เท่านั้น

แต่กรณีตามคำร้องเรียนนี้เป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการตีความว่าสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ครบกำหนดเวลา 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ เมื่อใด และความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อใด มิใช่เป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะพิจารณาเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ประกอบกับรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า “นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ ด้วย” และวรรคสาม บัญญัติไว้ว่า “ให้นำความในมาตรา 82 มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของความเป็นรัฐมนตรีตาม (2) (4) หรือ (5) หรือวรรคสอง โดยอนุโลม เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย”

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงไว้เป็นการเฉพาะแล้ว กล่าวคือ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก โดยให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสาม ยังกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องดังกล่าวให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้อีกด้วย

ดังนั้นกรณีปัญหาตามคำร้องเรียนนี้จึงเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดหน่วยงาน หลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีไว้โดยชัดแจ้งและเป็นการเฉพาะแล้ว โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการส่งเรื่องในลักษณะดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 37(3) แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่นตามมาตรา 37(4) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่อาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 23(1) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงวินิจฉัยยุติเรื่องร้องเรียน.