จากกรณี สิบโทมานิตย์ จันทะพินิจ หรือ “สห.วิทย์” อายุ 33 ปี สารวัตรทหาร หรือ สห.มทบ.210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง นครพนม ก่อเหตุยิง สิบตรีวัชระ อินาลา หรือ “สห.เกิ้ล” อายุ 29 ปี ตำแหน่งสารวัตรทหาร มทบ.210 นครพนม เพื่อนรุ่นน้องค่ายเดียวกันจนเสียชีวิต ขณะเข้าเวรรักษาการก่อนจะหลบหนีไป ภายหลังรู้สึกสำนึกผิด จึงขอเข้ามอบตัวกับผู้บังคับบัญชา อ้างว่าที่ยิงผู้ตายก็เพราะขัดแย้งเรื่องส่วนตัว ทางตำรวจกำลังสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนคุมตัวส่ง ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ดำเนินคดีตามกฎหมายตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22 ส.ค. พล.ต.สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 นครพนม เปิดเผยว่า ได้หารือรับปากต่อหน้าศพ รวมถึงยืนยันต่อแม่ผู้เสียชีวิต คือ นางอัมรา อินาลา อายุ 65 ปี รวมถึงภรรยาผู้ตาย คือ นางสาวสกาวเดือน ขันจันทร์ หรือ เปิ้ล อายุ 32 ปี  พึ่งคลอดลูกชายได้ประมาณ 1 เดือน ว่าจะมีการเสนอให้การช่วยเหลือผู้ตาย และครอบครัวทุกด้าน ทั้งการเสนอปูนบำเหน็จ เงินสวัสดิการ เงินประกันชีวิต และกองทุนช่วยเหลือทุกด้าน นอกจากนี้หากทางภรรยา และลูกต้องการขอรับสิทธิช่วยเหลือ เกี่ยวกับการทำงาน รวมถึงการศึกษาบุตร จะได้เสนอทางกองทัพบกพิจารณาช่วยเหลือให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกันทางภรรยาผู้ตาย ได้เรียกร้องสิทธิ อันดับแรก คือขอให้ลูกชายได้รับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี ในส่วนของการดำเนินคดี ขอให้ศาลทหารให้ความเป็นธรรมลงโทษผู้กระทำผิดขั้นเด็ดขาด คือ ประหารชีวิต และต้องได้รับสิทธิช่วยเหลือเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่ได้รับความเป็นธรรม จะเรียกร้องทางกองทัพบกช่วยเหลือให้ถึงที่สุด

ด้าน น.ส.สกาวเดือน กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทางผู้บังคับบัญชา มทบ.210 นครพนม ที่ได้ให้กำลังใจ ดูแลช่วยเหลือ หลังสูญเสียเสาหลักของครอบครัว ที่สำคัญตนเพิ่งแต่งงานกับผู้ตาย เมื่อต้นปี 2564 เพิ่งมีลูกชายด้วยกันคนแรก คือ น้องภาคิน อายุได้แค่เดือนเดียว ยังไม่ทันเห็นหน้าพ่อ แต่ต้องมาจากไปเสียก่อน ทำให้ครอบครัวชีวิตพัง ยอมรับแค้นมากคนที่ลงมือฆ่า เป็นรุ่นพี่ ทำงานด้วยกัน สนิทคุ้นเคยกัน แค่อ้างว่าไม่พอใจไม่เคารพรุ่นพี่ มันเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ยืนยันสามีไม่เคยบอกว่ามีปัญหากับคนก่อเหตุ และเชื่อว่าไม่ไปหาเรื่องใครก่อน แต่คนก่อเหตุคงทำไปเพราะไม่คิดถึงความสูญเสียที่จะตามมา ทั้งที่ตนเองก็ต้องดูแลแม่ ทั้งที่ไม่แตกต่างคือ พ่อเสียชีวิตด้วยกันทั้งคู่ สิ่งแรกที่ตนจะเรียกร้องสิทธิ คือ จะต้องได้รับสิทธิทุกด้าน ในการดูแลช่วยเหลือจากต้นสังกัด สำคัญที่สุดคือลูกชาย จะต้องได้รับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี ส่วนตนขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้สามีของตนจะต้องได้รับสิทธิเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และวิงวอนศาลทหารมีบทลงโทษเด็ดขาดกับผู้ต้องหา คือขั้นประหารชีวิต ถึงจะสาสม เพราะไม่ต้องการเอาเงินมาแลกกับชีวิตสามี หากไม่ได้รับความเป็นธรรมตนจะเรียกร้องถึงที่สุด แต่เบื้องต้นยอมรับในการดูแลรับปากของผู้บังคับบัญชา

ด้าน พล.ต.สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 นครพนม กล่าวว่า ยืนยันจะช่วยเหลือเต็มที่ ตามข้อเรียกร้องของครอบครัว ขอให้มั่นใจ ทางหน่วย มทบ.210 นครพนม จะดูแลช่วยเหลือทุกด้าน และขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการของศาลทหาร จะมีบทลงโทษที่ให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน ที่สำคัญปมขัดแย้งตนยืนยันว่า เป็นปัญหาส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับปัญหาการทำงาน และไม่มีการกดดันจากผู้บังคับบัญชาอย่างแน่นอน โดยจะได้มีการกำชับดูแลกำลังพลให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก