เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจภายในทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ในช่วงเช้า โดยในเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรี แถลงข่าว “จุดยืนลดภาระทางการศึกษา” ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากนั้นเวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ครั้งที่1/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

ขณะที่ช่วงบ่ายในเวลา 13.30 น. นายกรัฐมนตรี เป็นปนะธานการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ชุดใหญ่ ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยวาระการประชุมจะได้รับทราบแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19, การรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศ ทั้งการแลกวัคซีนโควิด-19 (AstraZeneca) ระหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย และการรับบริจาค Monoclonal Antibody (Casirivimab/Imdevimab) จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมนี พร้อมกันนี้ที่ประชุมจะมีการประเมินผลการปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อโควิด-19 และมาตรการป้องกันควบคุมในพื้นที่เฉพาะ (Bubble & Seal) และโครงการนำร่อง การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน หรือแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ (Factory Sandbox) ขณะเดียวกันที่ประชุมเตรียมพิจารณามาตรการควบคุมสำหรับการเดินทางเข้าออกทางน้ำเฉพาะกรณีเรือที่ไม่มีสัญชาติไทย เพื่อปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียม ภารกิจอื่นใดบนยานพาหนะหรือ สิ่งปลูกสร้างในทะเล

นอกจากนี้ยังติดตามการเปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภเก็ตเชื่อมต่อจังหวัดนาร่องอื่น (7+7), พิจารณาแนวทางการประชาสัมพันธ์ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19, พิจารณามาตรการผ่อนปรนให้ 4 ธุรกิจหลักที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ได้แก่ 1.ธนาคาร สถาบันการเงิน 2.ธุรกิจสื่อสาร ไอที 3.ร้านเบ็ดเตล็ด 4.ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น รวมถึงที่ประชุมยังจะรับทราบสรุปสถานการณ์และแนวโน้วการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ที่พบว่าการระบาดทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยหลายประเทศแถบยุโรปพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และพบยอดผู้เสียชีวิตไม่สูงมาก รวมทั้งประชากรได้รับวัคซีนในสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 ประเทศไทยมีแนวโน้ม พบผู้ติดเชื้อในเกณฑ์สูงต่อเนื่องในอีก 1-2 เดือน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบผู้ติดเชื้อเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อรับการรักษา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในเกณฑ์สูงคงตัว ทั้งจากตรวจคัดกรองด้วยวิธี RT-PCR และ ATK จึงจำเป็นต้องเร่งมาตรการทางสังคมเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และเพิ่มจานวนทีมปฏิบัติเชิงรุก “CCR Team” เพื่อให้ผู้ป่วย ได้เข้าถึงการดูแลที่บ้านได้เร็วขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วยอาการหนัก รวมทั้งลดการใช้เตียงเหลือง-แดง 

สำหรับภาคกลางและภาคตะวันออก พบการระบาดต่อเนื่องจากโรงงาน สถานประกอบการ สู่คนในชุมชน ครอบครัว คนที่รู้จักกัน และตลาด จึงจำเป็นต้องยกระดับมาตรการควบคุมโรคพื้นที่เฉพาะ (Bubble & Seal) เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในโรงงานและสถานประกอบการ ขณะที่พื้นที่ภาคใต้และชายแดนใต้ พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจานวนมากอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องเน้นมาตรการ DMHTT ทั้งในบ้านและชุมชน ส่วนผลการประเมินมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ (ล็อกดาวน์) ตามข้อกำหนด ในห้วงระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมาพบว่าการล็อกดาวน์ได้ผลร้อยละ 25.