เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่กรูฟแอทเซ็นทรัลเวิลด์ “บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย ได้แถลงข่าวขอบคุณผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก กาตาร์ 2020 ทั้งในส่วนภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และประธานบอร์ด กกท. ร่วมด้วยภาคเอกชน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน), บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบความสุขให้คนไทย ได้ดูบอลโลกฟรีครบทั้ง 64 แมตช์

ภายหลังการแถลงข่าว ดร.ก้องศักด เปิดเผยว่า หลายฝ่ายพยายามทุ่มเททำงานกันอย่างหนักตลอด 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนสามารถเจรจากับผู้แทนของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จนได้ราคาลิขสิทธิ์ที่ลงตัว 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับการชำระค่าลิขสิทธิ์ทางฟีฟ่า ให้ประเทศไทยแบ่งชำระ 2 งวด คือ งวดแรก ก่อนนัดเปิดสนาม ซึ่งใช้งบประมาณที่ได้รับมาจาก กสทช. ชำระไปแล้ว 600 ล้านบาท และอีกงวด 600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินสนับสนุนจากภาคเอกชน ที่จะชำระภายในวันที่ 25 พ.ย.นี้

ต่อข้อถาม กกท. ได้เงินจาก กสทช. แล้ว 600 ล้านบาท และภาคเอกชน รวมกัน 700 ล้านบาท รวมเป็น 1,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ 1,200 ล้านบาท ที่เหลืออีก 100 ล้านบาท เพียงพอต่อค่าดำเนินการ เช่น ค่ารับส่งสัญญาณดาวเทียม หรือไม่ ดร.ก้องศักด กล่าวว่า เพียงพอแล้ว ไม่มีปัญหา แต่หากมีเอกชน ต้องการเข้ามาร่วมสนับสนุนเพิ่มอีก กกท. ก็ยินดีเพราะหากได้เพิ่มมา ก็จะนำไปเพิ่มเติมในส่วนของโปรดักชั่น การนำเสนอการถ่ายทอดสดให้ดีขึ้นไปอีก

ส่วนการที่สมาคมทีวีดิจิทัล เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กสทช. กรณีการจัดสรรช่องถ่ายทอสดฟุตบอลโลก ที่ไม่เป็นธรรมนั้น “บิ๊กก้อง” กล่าวว่า ขอยืนยันว่าเราพยายามทำดีที่สุด เรายึดหลักความเสมอภาค ความเท่าเทียมและความเป็นธรรม เป็นหลักการที่ทาง กสทช. ย้ำกับเรา ทำให้มีความโปร่งใส่ มีความถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบกฎหมายต่างๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสปอนเซอร์ต่างๆ จะได้รับสิทธิมากกว่าก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะได้มากกว่าในระดับไหน ก็เป็นสิ่งเราได้หารือกันแล้ว ในที่สุดแล้วเมื่อวานนี้เราก็ต้องตัดสินใจ เพราะว่าไม่มีเวลาแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือทำให้ดีที่สุด ณ เวลาเมื่อวานนี้ เราไม่ได้เพิ่งมาหารือ แต่คุยกันมาก่อนหน้านี้ 2-3 วันแล้ว เราได้ให้ข้อมูลและเปิดโอกาสให้กับทีวีทุกช่องในการเสนอว่าจะให้สิทธิช่องที่เป็นสปอนเซอร์เหนือกว่าช่องที่ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์จำนวนมากน้อยอย่างไร

“ผมขอเรียนว่า เราพยายามทำให้มีความเสมอภาคที่สุดแล้ว มีการปรึกษากับทาง กสทช. อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทุกอย่างมีความเป็นธรรม และโปร่งใส ยอมรับของทุกฝ่าย เราก็ยินดีรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ ของทุกฝ่าย แต่ถ้าจะมีการยื่นเรื่องไปที่ กสทช. จริงๆ เราก็จะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยคำตัดสินของ กสทช. อย่างเคร่งครัด และก็คงต้องหารือกันต่อไป เรามาถึงจุดนี้แล้ว ผมอยากขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันเสียสละคนละนิดคนละหน่อย เพื่อที่จะหันหน้าเข้ามาพูดคุยกัน คิดว่าจะร่วมกันหาทางออกได้” ดร.ก้องศักด กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ รวมเป็นเงิน 700 ล้านบาท แยกเป็น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 300 ล้านบาท, น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง 100 ล้านบาท, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 100 ล้านบาท, บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ 20 ล้านบาท, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 20 ล้านบาท, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 10 ล้านบาท, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท, ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท.