เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และฐานะรองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) กล่าวถึงกรณีปรากฎเป็นข่าวพร้อมคลิปภาพเป็นเหตุการณ์ในจังหวัดเพชรบุรี มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้หน้าโวยวาย ชวนเจ้าของร้านสะดวกซื้อทะเลาะวิวาท โดยเจ้าของร้านได้ก้มลงหยิบอาวุธปืนลูกซองยาว ภายในร้านออกมา เพื่อข่มขู่ให้ออกไปจากร้าน แต่ถูกพุ่งเข้ามาแย่งอาวุธปืนและชกเข้าที่ใบหน้า จากนั้นขณะชุลมุนยื้อแย่งปืนกัน ปืนลั่น 1 นัด กระสุนถูกท้องผู้ตายจนล้มลง ซึ่งต่อมาเจ้าของร้านพยายามปฐมพยาบาลช่วยชีวิต และให้ภรรยาโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเรียกรถพยาบาลมารับไปทำการรักษา แต่ปรากฏว่าผู้ตายทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิต ซึ่งก็มีรายงานว่าชาวบ้านที่อยู่ละแวกที่เกิดเหตุเเจ้งว่า ผู้ตายเป็นผู้ป่วยอาการจิตหลอน เนื่องจากเคยติดยาเสพติด และที่ผ่านมามีพฤติกรรมก่อกวนระรานชาวบ้านอยู่เสมอ

ว่า สำหรับทุกครอบครัวที่มีคนวิกลจริตนั้นมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดูเเลคนวิกลจริตให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัยถ้าหากว่าคนดูเเลเกิดปล่อยคนวิกลจริตออกไปนอกบ้านกฎหมายอาญามาตรา373 บัญญัติไว้ว่าผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้นออกเที่ยวไปโดยลำพังต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท คือเเค่ออกจากบ้านไปโดยลำพังก็มีโทษปรับถึง5พัน เเปลว่ากฎหมายมีเจตนาที่จะคุ้มครองครวิกลจริตว่าอยู่ในความดูเเลของใคร ผู้นั้นต้องคอยเฝ้า ดูแลรับผิดชอบ อุทาหรณ์ในเรื่องนี้ตนของฝากข้อคิดว่า คนที่ดูแลผู้ตายซึ่งตามข่าวบอกว่าวิกลจริต จะต้องรับผิดตามมาตรา 373 เพราะถ้าดูแลดีเหตุการณ์ปืนลั่นใส่ในครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น ส่วนคนที่ทำปืนลั่นใส่คนวิกลจริตจนถึงแก่ความตาย จะต้องรับผิดฐานใดเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนรายละเอียดทั้งหมดในที่เกิดเหตุ ให้ได้ความจริงซึ่งตนคงไม่พิจารณาจากภาพ ซึ่งอาจจะได้รายละเอียดไม่หมดที่จะนำไปสู่ข้อกล่าวหาทางอาญาว่าผิดฐานใดหรือไม่อย่างไร และหากมีการทำสำนวนส่งพนักงานอัยการ ทางพนักงานอัยการก็จะให้ความเป็นธรรมตามสำนวนการสอบสวนเเละกฎหมายต่อไป

“กระบวนการมันต้องสอบสวนให้ได้ความจริงให้ชัด ภาพที่เห็นมันสามารถดิ้นได้หลายด้าน” รองโฆษก อสส.ระบุ