เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนกรณี นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้ต้องคดีสำคัญวางแผนพยายามหลบหนีออกจากศาลอาญา

พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า นายประสิทธิ์ ก่อนหน้าเมื่อปี 2564 ถูกตำรวจสอบสวนกลางจับกุมดําเนินคดีฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง ประชาชนและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” รวม 6 คดี จากกรณีที่ไปหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนธุรกิจประเภทต่างๆ เช่น การปล่อยเช่ากระเป๋าแบรนด์เนม ลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยว หรือลงทุนออมในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ อ้างให้ผลตอบแทนสูง จนมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล 2 คดี ส่วนนายประสิทธิ์ ถูกสั่งคุมขังระหว่างพิจารณาคดีอยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า กระทั่งวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ คุมตัวนายประสิทธิ์ ไปศาลอาญา เพื่อเบิกความและตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สํานักงานคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ กับพวกรวม 9 ราย เป็นจําเลยที่ห้องพิจารณาคดี 903 เกี่ยวกับคดีหลอกลงทุนกระเป๋ากับบริษัท วีเลิฟยัวแบ๊ก (ไทยแลนด์) ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดี นายประสิทธิ์ กลับพยายามจะหลบหนี โดยทำทีอ้างว่าท้องเสีย ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำบริเวณชั้น 9 ของศาลอาญา ก่อนใช้จังหวะนั้นฉวยโอกาสปลดเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งหลบหนีออกจากห้องน้ำชั้น 9 แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ที่บริเวณบันไดชั้น 3 ของศาลอาญา

“สำหรับกุญแจไขโซ่ตรวนนั้น นายประสิทธิ์ได้จัดเตรียมมา ส่วนเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนนั้น ทางทีมงานของนายประสิทธิ์นำไปวางไว้ให้ในห้องน้ำ เมื่อปลดโซ่ตรวน นายประสิทธิ์รีบเปลี่ยนชุดแล้วพยายามหลบหนีออกมา นอกจากนี้ ยังทราบว่ามีการจัดเตรียมโทรศัพท์มือถือ เครื่องดำรงชีพ เงินสด และเสื้อผ้าอีกชุดไว้ในรถ เป็นแผนสำรองอีกด้วย เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ และเชื่อว่าวางแผนมาพอสมควร ไม่ใช่การตัดสินใจเฉพาะหน้า มีการทำกันเป็นขบวนการ โดยผู้ร่วมก่อเหตุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกน้อง คนใกล้ตัวที่คอยทำหน้าที่เบิกถอนเงินในบริษัท

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นข้อสงสัยว่า จะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น ยังไม่ตัดประเด็นข้อสงสัยนี้ทิ้งไป เพราะมีข้อเคลือบแคลงหลายอย่าง โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า กุญแจไขโซ่ตรวน ซึ่งต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่า นายประสิทธิ์ นำมาจากที่ใด เพราะกุญแจดังกล่าวไม่ได้หาได้โดยทั่วไป และจังหวะหลบหนีออกมาจากห้องน้ำ เดินผ่านเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิด และซักถามพยานบุคคลต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ทางกรมราชทัณฑ์เองก็ได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบ

“ทั้งนี้ จากเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้นายประสิทธิ์ ถูกดำเนินคดีเพิ่มในข้อหา “หลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามอํานาจของศาล” ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ส่วนผู้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายสมประสงค์ (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่เคยร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ จํานวนกว่า 10 ล้านบาท แต่กลับยังคงเชื่อว่า หากไม่แจ้งความร้องทุกข์ และคอยติดตามช่วยเหลือเรื่องคดีให้นายประสิทธิ์ จะได้รับเงินจํานวนดังกล่าว หลังพบหลักฐานว่าเป็นบุคคลที่นําเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์ เปลี่ยนในห้องน้ำที่เกิดเหตุ โดยตัวนายสมประสงค์จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ช่วยให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอํานาจของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวนหลุดพ้นจากการคุมขัง” ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นอกจากนี้แนวทางสืบสวนยังพบว่า นอกเหนือจากนายสมประสงค์แล้ว ยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายราย โดยเฉพาะกลุ่มอดีตพนักงาน เลขานายประสิทธิ์ รวมทั้งกลุ่มผู้ช่วยทนายความ คอยให้การช่วยเหลือหรือรู้เห็นในการวางแผนหลบหนีครั้งนี้ ซึ่งเมื่อสำนวนคดีโอนมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบฯ แล้วนั้น ก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านี้ ส่วนเหตุผลที่ต้องโอนคดีมายังกองปราบนั้น ก็เพราะเชื่อว่ามีการทำกันเป็นกระบวนการสลับซับซ้อน ประกอบกับเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับคดีเดิมที่ทางตำรวจสอบสวนกลางทำไว้ ทั้งคดีหลักและฟอกเงิน มีข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ มากมาย เพื่อให้ครบถ้วนและต่อเนื่องจึงต้องลงไปทำด้วยตัวเอง” พล.ต.ท.จิรภพ ระบุ

ด้าน พ.ต.อ.เผด็จ กล่าวว่า สำหรับการเข้าตรวจค้นห้องพักย่านสามย่าน เมื่อเย็นที่ผ่านมานั้น เนื่องจากจุดดังกล่าวเป็นจุดที่ นายประสิทธิ์ ใช้ให้ลูกน้องนำเสื้อผ้าไปเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ หากหนีได้ก็จะไปเปลี่ยนชุดอีกรอบที่จุดดังกล่าว แต่จากการตรวจค้นพบเพียงรองเท้า 3 คู่ เนื่องจากคนใกล้ชิดทั้ง 3 คน ที่จัดเตรียมได้นำมาเก็บไว้ที่รถก่อนแล้ว

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า จากแนวทางสืบสวนยังพบว่า หากนายประสิทธิ์ สามารถหลบหนีได้ ได้มีการวางแผนที่จะไปทำบัตรประชาชนปลอม หลังพบมีการติดต่อไปยังเพจเฟซบุ๊กหนึ่งเพื่อว่าจ้างให้ทำบัตรประชาชนปลอม แต่สุดท้ายก็ถูกเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวหลอกเงินไป อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่นายประสิทธิ์ ตัดสินใจกระทำเรื่องดังกล่าวขึ้น ส่วนตัวมองว่าน่าจะมาจากการที่เจ้าตัวถูกดำเนินคดีหลายคดี รวมถึงคดีฟอกเงิน ต่างกรรมต่างวาระ อัตราโทษหนัก หากสู่คดีแพ้ต้องถูกจำคุกนานหลายปี

ด้าน พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวว่า สำหรับคดีหลักของนายประสิทธิ์ ที่เป็นคดีความผิดมูลฐานมีด้วยกัน 6 คดี ทางพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการแล้วทั้ง 6 คดี สั่งฟ้องแล้ว 1 คดี อีก 4 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ทาง ปปง. แจ้งเอาผิดเรื่องการฟอกเงินอีก 5 คดี สรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาแล้ว 4 สำนวนคดี ส่วนที่เหลืออีก 1 คดี ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนเร่งสรุปเตรียมส่งให้กับทางอัยการ คาดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ น่าจะแล้วเสร็จ ขณะที่ในส่งของกลางอายัดเงินทรัพย์สินต่างๆ นั้น เบื้องต้นทางคณะพนักงานสอบสวนส่งสรุปข้อมูลส่งให้ทาง ปปง. ตรวจสอบจนมีคำสั่งยึดทรัพย์แล้ว 3 คำสั่ง เป็นเงินกว่า 265 ล้านบาท และเชื่อว่าน่าจะมีคำสั่งยึดทรัพย์ส่วนอื่นๆ ที่เหลือตามมาอีกหลายรายการ