เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ กระแสเทพ อายุ 65 อยู่บ้านเลขที่ 89 ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ อดีตข้าราชการครูแห่งหนึ่ง และได้เออร์ลี่ราชการ ได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชนประจำจังหวัดสุรินทร์ เพื่อนำเสนอข่าวให้หน่วยงานที่มีอำนาจและมีส่วนเกี่ยวข้อง ออกมาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับตนเอง ว่า ตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ และภรรยาทำงานอยู่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ ได้มาทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยตนได้กู้ยืมเงินจริง จำนวน 70,000 บาท โดยเจ้าหนี้กดเอทีเอ็มให้ หลังจากนั้นก็กลับมาเขียนสัญญากู้ที่หอพักของตน แต่กลับเขียนลงในสัญญา จำนวน 200,000 บาท ตนก็ไม่ได้แย้งเพราะเชื่อใจ รู้จักสนิทสนมมานาน

โดยเสียดอกเบี้ยร้อยละ 3 บาท ส่งเดือนละ 2,100 บาททุกเดือน ระยะหลังตนเองส่งไม่ทัน ในช่วงโควิด-19 ระบาด อาจจะส่งช้าแต่ชำระดอกเบี้ยตลอดไม่เคยขาด โดยส่งมาต่อเนื่อง 1 ปีกว่า เขาก็ขับรถมาเอาที่หอพักตลอด หลังๆ ไม่สามารถติดต่อได้ ตนเองก็พยายามติดต่อโทรฯ หา ตามหา เพื่อเอาดอกเบี้ยไปให้แต่ไม่เจอ หลังจากนั้น 1 ปี ก็ถูกฟ้อง มีหมายจากศาลแขวงสุรินทร์ เรียกตนไปไกล่เกลี่ยฟ้องแพ่ง รวม 220,000 บาท รวมดอก ทั้งที่เงินต้นจริงเพียง 70,000 บาทเท่านั้น แต่กลับเอาตัวหนี้เท็จ 200,000 บวกอีก 20,000 บาท รวม 220,000 บาท รวมมาฟ้องทั้งหมด พอไปถึงเจ้าหนี้ไม่มาพบ ส่งทนายมาคุย ตนแย้งไปว่าตัวเลขไม่ถูกต้อง ทนายเลยบอกให้ตนโทรฯ คุยกับเจ้าหนี้ พอโทรฯ ไปเจ้าหนี้บอกว่า เอาตามนั้นก่อน เขาเลยให้ตนเซ็นรับสภาพหนี้ โดยให้ชดใช้เดือนละ 1 หมื่นบาท หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้จ่าย เพราะจะขอเจรจากัน เนื่องจากว่าเป็นคนที่สนิทสนมกัน คิดว่าคงคุยกันได้ ไม่คิดว่าจะบ่ายเบี่ยง ตั้งตัวแทนให้มาคุยแทน ซึ่งตัวแทนก็บอกเพียงว่าทำตามหน้าที่ ก่อนจะมีหมายบังคับยึดทรัพย์สินขายทอดตลาดในครั้งนี้ และให้เข้าเจรจาที่กรมบังคับคดีในวันที่ 14 ก.พ. นี้ ตนไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจกันจะทำกันได้ลง

“ผมก็ไม่สามารถพึ่งพาใครได้ จึงได้เข้าร้องกับผู้สื่อข่าวในพื้นที่ ให้ช่วยนำเสนอข่าวผ่านไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาช่วยเหลือตนเองด้วย วันที่ศาลนัดผมไปที่ศาล แต่คนฟ้องกลับไม่ไป ผมได้โทรศัพท์โทรฯ คุยติดต่อกับเจ้าหนี้ แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมพูดจาอะไรเลย บอกเพียงว่า ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ซึ่งตนเองไม่เข้าใจมันคืออะไร โดยมีการแต่งตั้งทนายมาฟ้องบังคับคดี บังคับเอาหอพักของตนไปขายทอดตลาด ใช้หนี้เทียมเพียง 220,000 บาท ซึ่งใช้ความรู้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงสารพัด หวังฮุบหอพักที่มีราคาถึง 15,202,610 บาท ราคาประเมินจากสำนักงานบังคับคดี เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2564” นายสมบัติ กล่าว

นายสมบัติ ยังบอกอีกว่า นอกจากจะถูกฟ้องบังคับคดีหอพักแล้ว ที่นาจำนวน 2 แปลงของตนเอง ยังถูกยึดไปอีกจำนวน 19 ไร่ ซึ่งตนเองไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้เข้ามายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับผู้สื่อข่าว เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้กับตนเองที่ถูกนายทุนพวกนี้ ที่หากินกับชาวบ้านมานานแสนนาน จนกระทั่งถูกบังคับคดีขายทอดตลาดในวันที่ 22 ก.พ. 66 ที่จะถึงนี้ และไม่รู้ว่าไปทำกับใครอีกหรือไม่ ซึ่งตนจะทำหนังสือร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป