เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากมีกระแสข่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติพบคราบสีเขียวส่งกลิ่นเหม็นคล้ายน้ำมันลอยมาบริเวณชายหาดตำบลแม่น้ำ ซึ่งคราบดังกล่าวมีสีเขียว บางจุดจะมีสีน้ำตาลคล้ายโคลนลอยมาติดบริเวณชายหาด ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้างลงเล่นน้ำทะเล ต่างวิตกกังวลว่า คราบที่พบดังกล่าว จะส่งผลกระทบกับสภาพแวดล้อมของชายหาดเกาะสมุย

ขณะที่ นายอรุณ บุปผโก ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเกาะสมุย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เจ้าท่าภูมิภาค สาขาเกาะสมุย ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดที่นักท่องเที่ยวแจ้ง และจากการตรวจสอบรอบบริเวณพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ไม่พบคราบน้ำมันแต่อย่างใดตามที่มีการแจ้ง ซึ่งคราบที่ดังกล่าวที่ได้รับแจ้งมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติ ที่เรียกว่าปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม

นายอรุณ กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งจากรองผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค 2 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบ และจากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ไม่พบคราบน้ำมันตามที่ได้ข่าวแต่อย่างใด ส่วนคราบสีเขียวที่มีผู้พบและถ่ายรูปแชร์ในโซเชียลนั้น เป็นซากของแพลงก์ตอนที่ตาย แล้วลอยขึ้นบนผิวน้ำ เรียกปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ว่าแพลงก์ตอนบลูม ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี และจะถูกกระแสน้ำพัดพาออกสู่ทะเลอ่าวไทย เป็นวงจรทางธรรมชาติ โดยจะไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมตามที่วิตกแต่อย่างใด ล่าสุดบริเวณที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ไม่พบคราบแพลงก์ตอนบลูมแต่อย่างใด

สำหรับแพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเล จนทำให้แพลงตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกซิเจนในน้ำทะเลหมดลง แพลงตอนก็จะตาย จนทำให้น้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว หรืออาจเป็นเป็นช่วงที่เปลี่ยนฤดู จึงเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า น้ำทะเลเปลี่ยนสีเขียวหรือแพลงก์ตอนบลูม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ลงเล่นน้ำทะเล เพียงแต่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำ เนื่องจากบางจุดจะมีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง และทำให้หวั่นว่าจะเกิดผลกระทบต่อผิวหนัง หากบางคนผิวแพ้ง่าย ก็อาจทำให้มีผื่นคันได้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าว คาดว่าหากมีลมทะเลพัดแรง เพียง 4-7 วัน ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ.