เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แถลงปิดคดีลักปืนหลวงที่ สภ.ปากเกร็ด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 24 ราย และเจ้าหน้าที่รัฐ 8 ราย

โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร ผบ.หมู่ (ป.) สภ.ปากเกร็ด ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจเก็บและดูแลอาวุธปืนหลวงในคลังของ สภ.ปากเกร็ด ภ.จว.นนทบุรี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ด.ต.เชาวลิต มีการลักขโมยปืนในคลังไปมากถึง 160 กระบอก และนำไปจำนำให้บุคคลอื่น จึงได้ดำเนินคดี ด.ต.เชาวลิต ใน 2 ข้อหา คือ “ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ”

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้น พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องในขบวนการนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีการทำงานร่วมกับ พล.ต.ท.จิรภัทร ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 และ พล.ต.ท.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 เพื่อติดตามปืนของกลางในคดีกลับมา จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องเป็นพลเรือนทั้งชาย-หญิง รวม 23 คน แจ้งข้อหาแล้ว 1 ราย ออกหมายจับแล้ว 22 คน จับกุมได้ 18 คน อายัดตัว 4 คน ทั้งหมดจะถูกแจ้งข้อหา “รับของโจร”

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐ ระดับ ผู้กำกับการ, รองผู้กำกับการ, สารวัตร ของ สภ.ปากเกร็ด อีกจำนวน 8 คน ถูกแจ้งข้อหา ตามมาตรา 157 “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ” ประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.เขมพัทธ์ โพธิพิทักษ์ อดีต ผกก.สภ.ปากเกร็ด ปี 2560-2562, 2. พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ อดีต ผกก.สภ.ปากเกร็ด ปี 2562-2565, 3.พ.ต.อ.จารุจธิน นิธิปรีดาสกุล อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 2560-2562, 4.พ.ต.อ.นภธร วาชัยยุง อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 2562-2564, 5.พ.ต.ท.สุเนตย์ สีชำนาญ อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 2564-2565, 6.พ.ต.ท.ดำรงค์ ชูศรี อดีต รอง สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 2557-2563, 7.พ.ต.ท.อารยะ รัตนสร้อย อดีต สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 2563-2564 และ 8.พ.ต.ท.พรรษา จิวรรักษ์ อดีต สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 2564-2565

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตำรวจได้สืบสวนและติดตามปืนหลวงกลับมาได้แล้ว 64 กระบอก เหลืออีก 96 กระบอก ยังอยู่ระหว่างการติดตาม เบื้องต้นทราบว่ามีประมาณ 20 กระบอก ถูกส่งไปให้กองกำลังในประเทศเพื่อนบ้าน อีกด้วย โดยเป็นปืน M16 หรืออาวุธสงคราม เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งของประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีบางกลุ่มที่ต้องการใช้อาวุธปืนในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้ทำสำนวนในคดีนี้ประกอบด้วยเอกสารมากกว่า 2,200 แผ่น สอบปากคำพยาน 30 ปาก ซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิพากษา ด.ต.เชาวลิต จำคุก 256 ปี 168 เดือน แต่ให้จำคุกจริง 50 ปี ตามกฎหมาย ส่วนผู้เกี่ยวข้องอีก 23 คน อยู่ระหว่างสรุปสำนวนส่งอัยการ และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ ได้สรุปสำนวนส่ง ป.ป.ช. ชี้มูลคดีดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 23 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นนักพนัน หรือคนคุมบ่อนการพนันในพื้นที่ ที่ต้องการมีอาวุธปืน บางรายก็ขายต่อเพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย ส่วนการดำเนินคดีกับนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชานั้น สื่อให้เห็นว่า เมื่อมีลูกน้องใต้บังคับบัญชาทำความผิด จะปล่อยให้มีความผิดคนเดียวไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดชอบร่วมด้วย จึงได้มีการดำเนินการย้อนหลัง จะได้มีความรับผิดชอบในหน้าที่การทำงานมากขึ้น และไม่ควรปล่อยปละละเลยจนเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดยังอยู่ในตำแหน่งทางราชการ และยังไม่มีการให้ออกจากราชการแต่อย่างใด รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแล้ว โดยตามกฎหมายรัฐธรรมมาตรา 29 ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลจะสิ้นสุด โดยทั้งหมดยังมีสิทธิในราชการเช่นเดิม แต่ในการพิจารณาตำแหน่งตามรอบวาระ อาจต้องใช้การพิจารณามากกว่าบุคคลอื่นเนื่องจากมีมลทินติดตัว

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ได้กำชับให้ ผบก. และ ผกก. ทั่วประเทศ คอยปิดล้อมตรวจค้นคดีเกี่ยวกับอาวุธปืนโดยตลอด รวมถึงหากพื้นที่ใดมีการใช้อาวุธปืนยิงกันในช่วงเลือกตั้ง ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่นั้น จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย.