จากกรณีมีชื่อ “หม่อมราชวงศ์” มีเอี่ยวแก๊งข้ามชาติ คดีปลอมเอกสารร่วมกับลูกอดีตอธิบดีมหาดไทยเบิกเงิน 176 ล้านบาท และตำรวจตั้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันพยายามลักทรัพย์ และใช้ตราสัญลักษณ์ปลอม” ตามที่สื่อนำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 เม.ย. ที่สำนักงาน DBN คลินิก นพ.ม.ร.ว.ทองทิศ ทองใหญ่ เปิดเผยพร้อมชี้แจงว่า ขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิง และขอยืนยันในความบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น หรือร่วมในการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ตนหลงกล หลงเชื่อคนบางคน ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้เป็นธุระช่วยติดต่อธนาคารกสิกรไทย สาขาแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท เพื่อให้ชาวจีนเชื้อสายกัมพูชาเบิกเงินจำนวน 176 ล้านบาท โดยจุดเริ่มต้นมาจากที่ตนมีโครงการจัดสร้างศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (INNOVETIVE WELLNESS CENTER) บริเวณสะพานพระราม 7 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่แห่งยุคสมัยเพื่อคุณ ภาพชีวิตที่ดี อายุยืนยาวของคนไทยและชาวต่างชาติ ที่มาใช้บริการ ทั้งการรักษาโรคมะเร็ง การดูแลผู้สูงอายุ การรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินจำนวนมาก จะต้องหาผู้ร่วมทุน และองค์กรต่างๆ มาร่วมสนับสนุน ตามเงื่อนไขที่จะต้องเจรจาและทำสัญญากัน

นพ.ม.ร.ว.ทองทิศ กล่าวต่อว่า ในระหว่างการหาผู้ร่วมลงทุนนั้น มีคนแนะนำให้ตนรู้จักคนไทย ที่อ้างตัวเป็นนักธุรกิจ ทำธุรกิจกับชาวจีนเชื้อสายกัมพูชา ชื่อว่า นายหวัง ซึ่งพำนักอยู่ในประเทศไทย มีความสนใจต้องการนำเงินมาร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว เกี่ยวกับธุรกิจเสริมความงามและรักษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งตนไม่เคยพบและไม่เคยรู้จักนายหวังมาก่อน

“นายหวัง และกลุ่มบุคคลอีก 3 คน ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า เงินที่จะนำมาร่วมลงทุนกับโครงการด้วยนั้น อยู่ในบัญชีที่เปิดไว้กับธนาคารกสิกรไทย สาขาที่ตั้งอยู่ย่านสุขุมวิท จำนวน 176 ล้านบาท แต่ติดปัญหาไม่สามารถถอนเงินได้ เนื่องจากสมุดบัญชีธนาคาร และหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตของนายหวัง ก็หายไปด้วยเช่นกัน ผมและกลุ่มที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน ซึ่ง 1 ในจำนวนนี้ มีลูกชายอดีตอธิบดีกระทรวงมหาดไทยรวมอยู่ด้วย ได้ไปปรึกษากับทางธนาคารสาขาที่นายหวังอ้างว่าได้เปิดไว้ โดยที่นายหวังไม่ได้มาด้วย ทางธนาคารแจ้งว่า การจะถอนเงินฝากได้ นายหวังต้องมาด้วยตนเอง เพื่อเปิดบัญชีใหม่ และต้องมีพาสปอร์ตเล่มใหม่ที่ทำอย่างถูกต้องจากสถานทูต หรือกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา” นพ.ม.ร.ว.ทองทิศ กล่าว และกล่าวต่อว่า จากนั้นตนจึงแจ้งนายหวัง ซึ่งสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ให้กลับไปดำเนินการจัดทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ให้ถูกต้อง แล้วกลับมาที่ธนาคาร เพื่อทำสมุดบัญชีเล่มใหม่แทนเล่มเก่า ตามคำแนะนำของผู้จัดการธนาคาร

นพ.ม.ร.ว.ทองทิศ กล่าวอีกว่า ต่อมาอีก 3 สัปดาห์ ตนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักกลุ่มเดิม ให้ร่วมเดินทางไปที่ธนาคาร ซึ่งนายหวังจะเดินทางมาเจอกันที่นั่น เมื่อถึงธนาคาร นายหวังได้ยื่นเอกสารทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ธนาคารตรวจสอบ เวลาผ่านไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า พาสปอร์ต และตราประทับการเข้าเมืองเป็นของปลอม ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ประมาณ 20 นาย ได้เข้าควบคุมตัวนายหวัง รวมทั้งตนและพวก ไปที่โรงพักเพื่อดำเนินคดี

“ผมตกใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่สบายใจที่ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีความ โดยที่ไม่ได้รู้เห็นกับการปลอมแปลงเอกสารหนังสือเดินทาง เอกสารการเข้าเมืองทางบก ตราประทับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตราด เป็นของปลอม แต่ถูกตำรวจตั้งข้อหาร่วมกันพยายามลักทรัพย์ และใช้ตราสัญลักษณ์ปลอม ซึ่งผมได้ให้การกับพนักงานสอบสวนไปตามข้อเท็จจริง โดยสาระสำคัญเป็นไปตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น” หม่อมทองทิศ กล่าว

ส่วนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ให้ข่าวกับสื่อว่า นายหวัง เป็นแก๊งยาเสพติดคนจีน มีหมายจับที่ทางการจีนต้องการตัว ตนเห็นว่า ผู้กระทำผิดต้องถูกดำเนินคดี ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม และต้องกำจัดให้หมดสิ้น หรือลดน้อยลง เพื่อจะได้ไม่ไปสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยและผู้ที่หลงเชื่อ

ส่วนกรณีที่สื่อได้นำเสนอข่าวว่า ตนถูกดำเนินคดีเรื่องอุ้มบุญ โยงใยไปเกี่ยวพันกับชาวจีนผิดกฎหมายนั้น ขอยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาขอตรวจสอบที่คลินิกแล้ว โดยตนยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง พร้อมส่งเอกสารหลักฐานตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอทั้งหมดไป ซึ่งตำรวจก็ไม่ได้ตั้งข้อหาเรื่องการทำอุ้มบุญผิดกฎหมาย จึงขอชี้แจงให้สังคมได้เข้าใจ และสื่อช่วยแก้ไขข่าวให้ตรงกับความจริงด้วยฃ

สำหรับกรณีถูกตำรวจ สน.ทองหล่อ ตั้งข้อหา “ร่วมกันพยายามลักทรัพย์ และใช้ตราสัญลักษณ์ปลอม” ตนต้องต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยมีทนายความเป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ มีเอกสารและหลักฐานทั้งคลิปวีดิโอในการพูดคุยทุกอย่างกับทางธนาคาร พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม การหลงกล เข้าไปติดกับดักของแก๊งที่กระทำผิดกฎหมาย เกิดจากความซื่อ เชื่อใจคนง่ายเกินไป กับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน ซึ่งถูกตั้งข้อหานั้น ตนไม่อาจรับรองความสุจริตให้กับใครได้ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครั้งนี้ ได้สร้างความเดือดร้อน ความทุกข์ และความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อเกียรติยศเป็นอย่างมาก เป็นประสบการณ์และบทเรียนชีวิตราคาแพงที่จะต้องระมัดระวัง และถือเป็นอุทธาหรณ์ให้กับคนในสังคม ซึ่งปัจจุบันมีการหลอกลวง ต้มตุ๋นรูปแบบต่างๆ มากมาย ปรากฏเป็นข่าวดังที่รับทราบกันอยู่ อย่างไรก็ตาม โครงการจัดสร้างศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (INNOVETIVE WELLNESS CENTER) จะยังดำเนินการต่อไป เพื่อให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ประสบผลสำเร็จ.