เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 12 เม.ย. ที่ศาลหลักเมือง จ.สมุทรสาคร นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายก พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย นายอุดม กันม่วง นายบุญมี นิลถนอม นายประยงค์ นอบน้อม เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จากนั้น นายเศรษฐาและคณะเดินทางไปยังสมาคมการประมงสมุทรสาคร เพื่อรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการประมง โดย นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาของผู้ประกอบการประมงเป็นเรื่องใหญ่ เราจะทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ หากได้เป็นรัฐบาล จะเป็นตัวแทนชาวประมง เจรจาการค้าดูแลผู้ประกอบการการประมง จากนั้นได้เดินทักทายประชาชนที่ตลาดมหาชัย เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ขอคะแนนเสียงให้พรรค พท. โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ต่อมาเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา พร้อมด้วย น.ส.ณิชาภา โกวิทานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสงคราม พรรค พท. และคณะ เดินทางไปยังวัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) จ.สมุทรสงคราม เพื่อสักการะหลวงพ่อบ้านแหลม และนมัสการพระสมุทรวชิรโสภณ เจ้าอาวาสวัดบ้านแหลม ซึ่งได้ให้พรนายเศรษฐาว่า “กุศลเจตนาที่จะทำเพื่อประเทศชาติ ขอให้สำเร็จบรรลุผลตามที่มุ่งมาดปรารถนา” พร้อมมอบวัตถุมงคลเป็นหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พร้อมทั้งได้ทักทายนายพานทองแท้ว่า “นี่ลูกนายทักษิณใช่ไหม”

จากนั้น นายเศรษฐาและคณะได้เดินเท้าต่อไปยังตลาดร่มหุบ เพื่อพบปะประชาชน โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน เข้ามามอบดอกไม้ขอถ่ายภาพกับนายเศรษฐาและคณะอย่างอบอุ่น ก่อนเดินทางไปยังสหกรณ์ประมงแม่กลอง เพื่อรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการประมง.

ที่ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) จ.สมุทรสงคราม นายเศรษฐาได้กล่าวถึงกรณีสำนักงบประมาณชี้แจงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงงบประมาณปี 67 หากหักงบประจำและงบต่อเนื่องแล้ว จะเหลืองบประมาณ 2.2 แสนล้านบาท หากพรรค พท. เป็นรัฐบาล งบส่วนนี้จะเพียงพอหรือไม่ว่าเราต้องมาปรับปรุงกัน ซึ่งการหารายได้เป็นเรื่องที่สำคัญ ยืนยันว่างบประมาณที่เหลือ 2 แสนกว่าล้านนั้น ไม่ได้เป็นปัญหา ส่วนที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลจะได้ไม่คุ้มเสียนั้น ตนมองว่าทุกภาคส่วนมีความเป็นห่วง แต่เรามั่นใจในนโยบายว่าถูกต้องและโดนใจประชาชน

เมื่อถามต่อว่า หลายฝ่ายกังวลว่า 1 หมื่นคูณ 50 ล้านคน จะใช้งบมากเกินไป นายเศรษฐา กล่าวว่า ปกติแล้วนี่ไม่ใช่ทางของตนเท่าไรที่จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่บางพรรคการเมืองที่ให้ 700 บาทต่อเดือนต่อคน คูณไปก็หลายแสนล้านแล้ว ซึ่งเป็นการเฉลี่ย 4 ปี แต่ตนคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นการหยอดน้ำข้าวต้ม ไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบที่เราอยากให้เป็น เพราะพี่น้องประชาชนเดือดร้อนกันมานาน เขาต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ วิธีที่เราใช้เป็นวิธีที่เราคิดมาแล้วว่าหาเงินได้ และผลตอบแทนที่กลับมาในรูปแบบภาษีก็ชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรกับตัวเลขของพรรคการเมืองอื่นๆ หากเปรียบเทียบกับพรรค พท. ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็อย่างที่บอกว่าให้ไปศึกษาดูว่าบางพรรคการเมืองจริงๆ แล้วใช้จ่ายเยอะกว่า จริงๆ ไม่ใช่วิสัยของเราที่จะไปดูคนอื่น เพราะหน้าที่ของตนในนามแคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. มีหน้าที่เดินสายพบปะพี่น้องประชาชน กระจายนโยบายดีๆ ที่มีให้พี่น้องประชาชนทราบ ซึ่งแต่ละพรรคก็มีวิธีการที่จะแถลงนโยบายแตกต่างกันไป

เมื่อถามว่า หากโครงการนี้สะดุด จะมีโครงการอื่นมาเทียบเคียงหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มีอยู่แล้ว เรามั่นใจว่านโยบายเราดี มีประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน

เมื่อถามต่อว่า โครงการนี้จะได้ภาษีกลับมาเพียงพอหล่อเลี้ยงโครงการต่อไปหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยืนยันว่าอัตราการเก็บภาษีเท่าเดิม แต่จำนวนเม็ดเงินที่ได้เข้ามาจากการที่ห้างร้าน SME ภาคอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากรายได้สูงขึ้นมายังภาษีนิติบุคคล ภาษี VAT ซึ่งทุกอย่างเท่าเดิม อัตราการเก็บเท่าเดิม 7% ยืนยันว่าเราไม่ได้ขึ้นภาษี เราคิดไว้หมดแล้วว่าหากเราเก็บภาษีเท่าเดิมจะได้รายได้เพิ่มขึ้นเท่าไร ตามที่เคยมีการชี้แจงไป อย่างไรก็ตาม การได้เงิน 10,000 บาท จะไม่มีการหักภาษีใดๆ อย่าให้ใครเบี่ยงเบนความจริง

เมื่อถามว่าแปลกใจหรือไม่ว่าทำไม กกต. ถึงเพ่งเล็งพรรค พท. เป็นพิเศษ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่ครับ ท่านทำตามหน้าที่ท่าน เราเคารพการตัดสินใจและการทำงานขององค์กรอิสระไม่มีปัญหา ยืนยันว่าพร้อมที่จะชี้แจงตลอด”

เมื่อถามว่ายังไหวที่จะชี้แจงเรื่องนี้หรือไม่ นายเศรษฐา ยกแขนซ้ายเบ่งกล้าม ยิ้มมุมปาก พร้อมกล่าวว่า “ยังไหวครับ ไม่มีปัญหาครับ แข็งแกร่งครับ สู้”