เมื่อวันที่ 27 เม.ย. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวถึงกรณีพี่สาว นางสรารัตน์ หรือแอม รังสิวุฒาภรณ์ ผู้ต้องหาวางยาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย เท้าแชร์ อายุ 33 ปี ที่เป็นเภสัชกรนั้น อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์ที่นำมาใช้ก่อเหตุหรือไม่ ว่า ขณะนี้ทางตำรวจกองปราบปราม กำลังเร่งตรวจสอบประเด็นดังกล่าว แต่เบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหาสั่งซื้อสารพิษของกลางมาจากช่องทางอื่น ซึ่งปกติเป็นสารควบคุมใช้ในงานอุตสหกรรม ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ส่วนพี่สาวผู้ต้องหาจะให้คำปรึกษาเรื่องวิธีการใช้หรือไม่นั้น ก็ต้องรอสอบปากคำอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่พบว่ามีคนอื่นร่วมกระทำความผิด และแผนประทุษกรรม จะอาศัยความใกล้ชิดส่วนตัวกับเหยื่อเพื่อลงมือ

ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาอาจมีภาวะป่วยทางจิตจนเป็นสาเหตุเกิดพฤติกรรมโหดเหี้ยมนั้น พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า จากการสอบปากคำยังไม่พบมีอาการผิดปกติทางจิต และสามารถพูดจาเหมือนคนทั่วไป แต่ก็ต้องรอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชตรวจสอบอย่างละเอียดอีก อย่างไรก็ตาม คดีแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย จึงทำให้สังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเรียนรู้ และตระหนัก รวมไปถึงการควบคุม และป้องกันการซื้อสารอันตรายให้มากขึ้น

“การทำงานของตำรวจกองปราบฯ หลังจากนี้จะขยายผลไปตรวจเส้นทางการเงินของผู้ต้องหา เบื้องต้นทราบว่า เกี่ยวข้องกับธุรกิจจำนำรถยนต์ ซึ่งน่าจะมีข้อมูลที่ทำให้ตื่นเต้นมากกว่านี้” พ.ต.อ.เอนก กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับขวดพลาสติกที่ถูกระบุว่าเป็นสารไซยาไนด์นั้น นางสรารัตน์ สั่งซื้อมาทางออนไลน์ เนื่องจากสอบปากคำกลุ่มวัยรุ่น 5 คน ทราบว่าช่วงก่อนวันสงกรานต์ นางสรารัตน์ นำกล่องพัสดุที่ระบุชื่อนางสรารัตน์ เป็นผู้รับ ไปจ้างให้กลุ่มวัยรุ่นเอาไปฝังดินด้วยเงิน 500 บาท แต่หนึ่งในนั้น เปิดกล่องแล้วดมสารดังกล่าว ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะมึนงงไป 3 วัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มวัยรุ่นไม่ได้นำขวดยาดังกล่าวไปฝังตามที่รับปากไว้ เพราะมัวแต่เล่นสงกรานต์จนเพลิน เมื่อผู้ต้องหาโทรศัพท์ไปสอบถามทราบว่า ยังไม่ได้นำไปฝัง จึงได้ขับรถไปหา แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ยึดขวดสารไซยาไนด์ไปแล้ว นางสรารัตน์จึงค้นหากล่องพัสดุนำไปทำลายหลักฐาน ทางเจ้าหน้าที่จึงประสานขอข้อมูลกับบริษัทขนส่ง เพื่อแกะรอยหาที่มาที่ไปของหลักฐานสำคัญดังกล่าว เพื่อมัดตัวผู้ต้องหาต่อไป