เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล กล่าวปราศรัยตอนหนึ่ง ว่า พรรคก้าวไกล ตั้งใจว่าครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญ ในการจะนำเอากรงขังแห่งอดีตออกไปจากอนาคต และเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการกำหนดอนาคตใหม่ด้วยตัวเอง การเลือกตั้งวันที่ 14  พ.ค. นี้ เป็นการปะทะระหว่างอดีตกับอนาคต กลุ่มที่กุมอำนาจ พยายามให้พวกเราอยู่กับอดีต อันเป็นวันชื่นคืนสุขของพวกเขา แต่พวกเรายืนยันว่าจะเดินหน้าสู่อนาคต ดังนั้นวันที่ 14 พ.ค. จึงเป็นวันชี้ชะตา ซึ่งต้องเลือกว่าจะเอาอดีตหรืออนาคต อดีตที่วนเวียนอยู่กับการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า หรืออนาคตที่มาตัดวงจรประหารออกไป และคนเห็นต่างทางความคิดอยู่ร่วมกันในสังคมได้ อดีตที่มีมุ้งการเมือง เอาคนมารวมกันเพื่อชิงเก้าอี้ ส.ส. เพื่อไปแลกกับตำแหน่งรัฐมนตรี หรืออนาคตที่เราไม่เป็นหนี้บุญคุณใครนอกจากประชาชนเท่านั้น และอนาคตที่คนธรรมดาก็เป็น ส.ส. ได้ ไม่จำเป็นต้องเกิดในบ้านหลังใหญ่ หรือตระกูลการเมือง  

นายปิยบุตร กล่าวว่า นี่คือการเลือกระหว่างอดีตกับอนาคต แน่นอนที่สุด คนที่ครองอำนาจอยู่ รวมทั้งคนที่เคยครองอำนาจและอยากจะกลับมาครองใหม่ ต่างก็จะพาสังคมไทยกลับไปสู่อดีต ถอยหลังไปสู่ทศวรรษที่ 20 และทศวรรศที่ 40 แต่สุดท้ายเข็มนาฬิกานี้ จะต้องเดินไปสู่อนาคต ที่พวกเรากำหนดเอง หมดเวลาเอาความทรงจำในอดีตมากักขังอนาคตของประเทศไทย พรรคก้าวไกลเดินทางไปทั่วประเทศ ทุกเส้นทางของคาราวานก้าวไกลทั่วประเทศไทย แต่ละเส้นทางที่เราผ่าน แต่ละเวทีปราศรัย สายตาของประชาชนที่มองมายังพวกเรา มีแต่ความหวังและกำลังใจ นี่คือปรากฏการณ์ก้าวไกลไฟลามทุ่ง เขาจึงเกิดความกลัว ใช้ความกลัวปล่อยข่าวสารอันเป็นเท็จ บิดเบือนนโยบายพรรคก้าวไกล และมาทำลายความฝันของหวังของพี่น้องประชาชนด้วย การต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ความกลัวกับความหวัง เขากลัวสังคมใหม่ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจ กลัวสังคมใหม่จะทำให้ตั้งรับไม่ทัน ปรับตัวไม่ได้ แต่ความหวังของพวกเราเราเรียกร้องสังคมที่ดีขึ้น ทุกเพศวัยความคิดอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ความหวังพร้อมจะยอมรับกลุ่มคนอนุรักษนิยม แต่ความกลัวจะไม่ให้เราเผยแพร่ความคิดแบบก้าวหน้านี้ไป  

“เขากลัวว่า ถ้าวันนี้เขาไม่ได้แลนด์สไลด์ เขาจะไม่ได้กลับมามีอำนาจอีก แต่พวกเรามีความหวังว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน ความกลัวพยายามจะบอกว่าให้เราเปลี่ยนนายกฯ กับรัฐบาลก็พอแล้ว แต่ความหวังกระตุ้นเตือนเราว่าเปลี่ยนนายกฯ กับรัฐบาลไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศไทยด้วย” นายปิยบุตร กล่าว  

ทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน มีคุณค่าและความหมายต่อการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ไม่ใช่แค่ทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น แต่บัตร ส.ส.เขตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพรรคก้าวไกลไม่มีระบบคะแนนจัดตั้งกลไกเครือข่ายอุปถัมภ์ในพื้นที่ การชนะในแต่ละเขตจะเฉียดฉิว ถ้าแบ่งใจไม่กาก้าวไกล ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตอาจจะสอบตกได้ ส่วนคะแนนแบบบัญชีรายชื่อทั่วประเทศ ถ้าเกิน 10-12 ล้านเสียง นั่นหมายความว่าความคนไทยกลุ่มหนึ่ง 30-40% สนับสนุนก้าวไกล แม้ถูกกระทำ ถูกกระทืบให้จมดินมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ และเป็นสัญลักษณ์ว่า กลุ่มเหล่านี้อยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้คือตัวแทนของพลังแบบใหม่ ที่จะทำให้พลังแบบเก่าล้มระเนนระนาดไป ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลงดังอุโฆษหน้าประตูทุกท่านแล้ว จึงต้องใช้โอกาสนี้หยุดอดีตเดินหน้าสู่อนาคต 14 พ.ค. นี้ คำตอบสุดท้ายก้าวไกลทั้งแผ่นดิน  

ต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ปราศรัยตอนหนึ่งว่า อนาคตใหม่ฆ่าไม่ตาย วันนี้เติบโตขึ้นอย่างองอาจ และใหญ่กว่าเดิม การยุบพรรคของเขา ไม่ทำให้การเดินทางของเราถูกทำลาย เพราะคนที่ยืนอยู่ที่นี่ มากกว่า 4 ปีก่อน ถึงสี่ห้าเท่า ส่วนความคิดของเรา เขายิ่งฆ่าไม่ตาย เห็นได้ชัดจาก ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ครั้งหนึ่งเคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย 4 ปีผ่านมา วาระนี้ กลับกลายเป็นประเด็นสาธารณะพูดจาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างกว้างขวาง ปลอดภัย และ 3 ปีแห่งการยุบอนาคตใหม่ เมล็ดพันธุ์เติบโตงอกงาม เพดานถูกยกขึ้น พวกเขาล้มเหลวในการทำลายเรา ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่มีใครออกมายืนยันสิทธิ กล้าเผชิญหน้าความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ในเวลาที่สังคมโหยหาเสียงแห่งเหตุผล ต้องการผู้นำทางการเมือง หัวหน้าพรรคของเราได้แสดงความเป็นผู้นำนั้น นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล้าหาญ กล้าตอบสนองเสียงเรียกร้องแห่งยุคสมัย เขาคือหัวหน้าพรรคการเมืองคนแรก และคนเดียว ที่กล้าพูดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน หลายสิบปีที่ผ่านมาในสภา ไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหน กล้าทำในสิ่งที่นายพิธา ทำนี่คือเหตุผลว่าทำไม นายพิธาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองคนต่อไปของประเทศไทย  

วันนี้ โมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ไม่มีอะไรหยุดมันได้ ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองเเล้ว จะไม่ยอมกลับไปหาอดีต ที่มืดมิด 14 พ.ค. นี้ เป็นชั่วโมงแห่งประวัติศาสตร์ นี่คือโอกาสดีที่สุดตลอด 17 ปี ตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 เพราะไม่มีปีไหน ที่ฉันทามติแห่งการเปลี่ยนแปลง จะดังสนั่นไปทั่วทั้งแผ่นดินแบบวันนี้ เป็นเวลาฝันใหญ่ ไม่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แต่กล้าฝัน กล้าจับมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ 14 พ.ค. เป็นหน้าที่ของทุกท่านแล้ว ที่จะส่งก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธา เป็นนายกฯ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจากอาคารกีฬาเวสน์ 1 ซึ่งใช้เป็นสถานที่หลักของการปราศรัยเต็มตั้งแต่เวลา 16.30 น. จึงต้องเปิดสนามฟุตบอลกลางแจ้ง ตั้งจอถ่ายทอดสดขนาดใหญ่พร้อมเครื่องเสียงรองรับประชาชนที่มาทีหลัง แต่ผ่านไปไม่นาน สนามฟุตบอลก็เต็ม จึงต้องนำรถหาเสียงที่ติดจอแอลอีดีมาจอดบริเวณสนามหญ้า หน้าอาคารกีฬาเวสน์ 1 เพิ่มเติม.