เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ศูนย์บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 จ.นครปฐม รองศาสตราจารย์วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำผลของการตรวจสอบสารเคมีที่ตรวจยึดได้จากการตรวจวัตถุพยาน 296 รายการ จาก 18 ครั้ง ที่ชุดสืบสวนได้ส่งมาให้ตรวจสอบ มามอบให้ตำรวจหลังจากได้ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว

โดยในจำนวนนี้พบว่ามีไซยาไนด์ปะปนอยู่ ซึ่งเป็นสารที่ไม่เจอในธรรมชาติ แต่เป็นสารสังเคราะห์ขึ้นมา สั่งซื้อมาแบบเฉพาะเจาะจงลักษณะเป็นเกล็ดคล้ายเกลือ ซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ และเสียชีวิตได้รวดเร็วภายใน 1-2 นาที ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับนางสาวแอมหรือไม่ ต้องรอให้ชุดสืบสวนตรวจสอบก่อน

ส่วนการรับสารภาพของนางสาวแอม ที่ให้ปากคำล่าสุดที่อ้างว่า ใช้ไซยาไนด์ผสมกับสารเสพติด อาจารย์อ๊อด เผยว่า ผู้ต้องหามีที่ปรึกษาที่มีความรู้อยู่ภายนอก และพอรู้แนวทางการต่อสู้ ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการต่อสู้ในลักษณะนี้คดีในประเทศอินโดนีเซีย

สำหรับสารไซยาไนด์ไม่สามารถมาใช้ผสมกับยาเสพติดได้เนื่องจากเป็นยาพิษ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีปี 2565 ได้มีคำสั่งให้ควบคุมการนำเข้าสารตั้งต้นยาเสพติด 3 ชนิด คือ เบนซิลคลอไรด์ เบนซิลไซยาไนด์ และโซเดียมไซยาไนด์ ซึ่งทั้ง 3 ชนิด ก่อนหน้านี้พบว่ามีการนำเข้าผ่านประเทศไทยไปผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนจะถูกนำส่งกลับมาขายในไทย จึงมีคำสั่งให้ควบคุมสารดังกล่าว ซึ่งวันนี้ก็จะนำข้อมูลดังกล่าวให้ชุดสืบสวนพิจารณาถึงการดำเนินคดีของแต่ละคดีที่ตรวจพบ

อาจารอ๊อด ระบุว่า การผลิตยาเสพติดด้วยสารตั้งต้นดังกล่าวค่อนข้างยาก จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีเป็นผู้ผลิตเพราะจะต้องดัดแปลงถึง 3 ขั้นตอนกว่าจะได้เป็นยาเสพติด แต่ไซยาไนด์ คดีของนางสาวแอม ไม่สามารถนำมาตั้งต้นเป็นสารเสพติดได้เพราะหากกินไปเพียง 10 มิลลิกรัมก็เสียชีวิตทันที ซึ่งการกระทำดังกล่าวต้องมีทักษะ หากประเมินแล้วนางสาวแอม ไม่สามารถกระทำได้อย่างแน่นอน

สำหรับการตรวจหลักฐานที่ตำรวจส่งมาให้ในรอบที่ 3 พบว่ามีหลักฐานที่ตรวจพบไซยาไนด์ชัดเจน ส่วนยาแก้พิษไซยาไนด์ ในช่วงแรกก็ยังไม่ทราบว่าเป็นสารแก้พิษ แต่เมื่อได้ตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญ และแพทย์ก็พบว่าสารชนิดนี้เป็นสารที่ใช้แก้พิษดังกล่าว ส่วนรายละเอียดของการตรวจสอบขอให้ตำรวจเป็นผู้เปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากเป็นข้อมูลทางคดี