จากกรณีชายคลุ้มคลั่งก่อเหตุกราดยิงญาติตัวเองได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ในซอยจันทร์ 23 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ จากนั้นได้ร้องขอพูดคุยกับนักข่าว อ้างกลัวโดนแย่งสมบัติ กระทั่งเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลาต่อมา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ค. พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ผกก.สส.บก.น.5 และเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ บก.สปพ.191 ได้คุมตัวผู้ก่อเหตุมาสอบสวนที่ สน.บางโพงพาง พร้อมอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 ที่ใช่ก่อเหตุ ส่วนคนเจ็บอายุประมาณ 65-70 ปี ถูกยิงถากที่บริเวณหน้าอก ได้นำส่ง รพ.จุฬาลงกรณ์ อย่างเร่งด่วน

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้ก่อเหตุทราบว่า เจ้าตัวมีอายุ 76 ปี มีอาชีพทำธุรกิจส่วนตัว โดยผู้ก่อเหตุเคยทำงานด้านรักษาความปลอดภัยของเอกชน ทำให้พอมีความชำนาญด้านการใช้อาวุธปืนบ้าง แต่ไม่ได้เป็นทหาร และเลิกทำแล้วเพราะมีอายุมาก

ด่วน!! คนร้ายคลั่งกราดยิงกลางกรุงเจ็บ 2 ราย ตำรวจกำลังปิดล้อมพื้นอยู่ระหว่างเจรจา

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ เปิดเผยต่อว่า ส่วนสาเหตุการก่อเหตุครั้งนี้มาจากปัญหาการจัดการมรดก ที่เจ้าตัวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งในข้อเท็จจริง ผู้ก่อเหตุไม่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้แต่อย่างใด โดยก่อนก่อเหตุเจ้าตัวได้เข้ามาที่บ้านพักหลังดังกล่าว เพื่อพูดคุยเจรจาเรื่องการจัดสรรมรดก ปรากฏว่าไม่สามารถตกลงกันได้ มีการโต้เถียงทะเลาะกันภายในหมู่พี่น้อง ซึ่งเดิมเจ้าตัวมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน มีเสียชีวิตก่อนหน้านี้ไปแล้ว 3 คน จึงเหลือคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง 5 คน เมื่อตกลงเจรจาไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะก่อเหตุครั้งนี้ขึ้น

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ เปิดเผยต่ออีกว่า เหตุการณ์ในวันนี้นั้น เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์จบลงได้ด้วยดี เนื่องจากตำรวจใช้ทักษะการเจรจา รับฟังปัญหาของผู้ก่อเหตุ ให้ผู้ก่อเหตุได้มีโอกาสระบายความเครียดในใจอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้ก่อเหตุรับทราบว่ายังมีคนรับฟังเขาอยู่ ซึ่งทักษะนี้ทำให้ผู้ก่อเหตุยอมเปิดใจวางอาวุธปืนและมอบตัวกับพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ที่เป็นน้องสาวของผู้ก่อเหตุนั้น อาการปลอดภัยแล้ว ส่วนสาเหตุเบื้องลึกอื่นๆ อยู่ระหว่างการสอบปากคำ ทั้งนี้ ตำรวจเตรียมส่งผู้ต้องหาไปทำการประเมินสภาพจิตต่อไป

เบื้องต้นได้เตรียมแจ้งข้อหา “พยายามฆ่า และความผิดตาม พ.ร.บ.ปืน” แต่ต้องตรวจสอบพฤติกรรมการก่อเหตุพร้อมสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานจะเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมตรวจร่างกายหาสารเสพติดต่อไป.