จากกรณีชุดทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เข้าจับกุม “นางหลุ่ย กั๊ว” หรือ “จีจี้” ผู้สื่อข่าวสาวจีน ได้ที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.66 ที่ผ่านมา หลังผู้สื่อข่าวคนดังเคยทำงานให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่กลับแอบอ้างชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปเรียกรับเงินจาก นางนวพร ภาเกียรติสกุล อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาในคดีอุ้มบุญให้กลุ่มทุนจีนสีเทา โดย “จีจี้” แอบอ้างว่า สามารถวิ่งเต้นคดีได้โดยเรียกรับเงิน 33 ล้านบาท ซึ่ง นางนพพร จ่ายไปแล้ว 14 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. พล.ต.อสุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ “จีจี้” นักข่าวเชื้อสายจีน สัญชาติไทย ว่า สำหรับการดำเนินคดีกับจีจี้และมีการปล่อยตัวชั่วคราวตีหลักทรัพย์ 3.5 ล้านบาท เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เนื่องจากคดีนี้เป็นการเรียก “จีจี้” เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ขณะที่ตัว “จีจี้” เข้ามาพบ ไม่ได้เป็นการตามไปจับกุม จึงให้ปล่อยชั่วคราว สำหรับ “จีจี้” เป็นสื่อจีนทำงานกับตนมาตั้งแต่สมัยเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวเพื่อทำหน้าที่ในการสื่อสารกับทางสื่อจีนในหลายคดี รวมถึงคดีของ นวพร เช่นกัน

“….การดำเนินคดีครั้งนี้เป็นเพราะ “จีจี้” ได้แอบอ้างชื่อตนไปเรียกรับทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นตนจึงต้องดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ว่าใครก็ตามแม้จะเป็นลูกน้องใกล้ชิดเมื่อกระทำความผิดต้องดำเนินคดีในมาตรฐานเดียวกัน ยิ่งใกล้ตัวเท่าไหร่ยิ่งต้องดำเนินคดีเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น สำหรับลูกน้องใกล้ชิดเมื่อมีโอกาสต่าง ๆ แล้วไปรีดไถเงิน ต้องลงโทษหนักดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ…” พล.ต.อสุรเชษฐ์ กล่าวและเผยต่อไปว่า

ผู้ต้องหากระทำผิดหรือไม่ ขอให้ไปสู้กันในชั้นศาล ส่วนเส้นทางการเงินจำนวน 14 ล้าน ที่ นางนพพร มอบให้ “จีจี้” ทราบว่า เป็นเงินสด โดยตำรวจมีหลักฐานอยู่ในสำนวนการสอบสวน ทั้ง ภาพประจักษ์พยานที่มาของเงิน หากไม่มีหลักฐานเหล่านี้ศาลคงไม่ออกหมายจับ สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 66 ที่ผ่านมา ขณะนั้น นางนวพร ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนทราบเกี่ยวกับเรื่องของ “จีจี้” ที่มีการแอบอ้างลักษณะนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานคดีนี้เป็นคดีแรก หากมีคดีในลักษณะแอบอ้างตนอีก ขอให้ผู้เสียหายที่ถูกเรียกรับเงินมาร้องเรียนกับตนได้ สำหรับคดีนี้ “จีจี้” เป็นผู้ต้องหาร่วมกับสามีในการกระทำความผิด จึงมีการดำเนินคดีกับทั้งสองคน สำหรับ “จีจี้” มีเชื้อชาติจีน ได้สัญชาติไทยถูกต้องตามกฎหมาย เรียนศึกษาที่เมืองไทย 30-40 ปีแล้ว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับทางการจีน ตนได้มีการพูดคุยกับทางอุปทูตจีน และเอกอัครราชทูตจีน ต่างเชื่อมั่นในการทำงานของตนอยู่แล้วว่า ทำงานตรงไปตรงมา ไม่มีการกลั่นแกล้งใคร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ส่วนตัวบริษัทของจีจี้ที่มีการเชื่อมโยงไปกับบุคคลอื่น อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง หากดำเนินการบริษัทเป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างถูกต้อง ถือว่าไม่มีปัญหา ส่วนเส้นทางการเงิน 14 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดย ” วันนี้ทางจีจี้ได้ติดต่อมาพบเพื่อขออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ขอเลื่อนวันออกไป ตนก็ได้ให้สิทธิ์ทุกอย่าง ตนเป็นตำรวจทำหน้าที่ติดดิน ใครเข้าพบก็ได้ กินข้าวกับใครก็ได้หมด แต่การเอาชื่อไปแอบอ้างเรียกรับผลประโยชน์เป็นการกระทำผิดกฎหมายต้องดำเนินคดี

“…จากนี้ไปในส่วนของ “จีจี้” จะต้องมีการขึ้นบัญชีดำ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ มีสถานะเป็นผู้ต้องหา โดย” จีจี้” ได้ขออนุญาตไปฮ่องกง อ้างว่ามีการประชุม แต่ทางพนักงานสอบสวนไม่อนุญาต ต้องทำการยึดพาสปอร์ตไว้ ส่วนการโพสต์ข้อความชี้แจงของ “จีจี้” เป็นสิทธิ์ของเขาจะทำอย่างไรก็ได้ หากศาลยังไม่ตัดสินให้คดีถึงที่สุด ถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ คดีนี้ที่ สน.ลุมพินี ได้ทำการบันทึกทะเบียนประวัติผู้ต้องหาไว้แล้วหากศาลพิพากษาแล้วเสร็จเมื่อไหร่ จึงจะทำทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญต่อไป…” รองผบ.ตร.กล่าว

ด้านพนักงานสอบสวนให้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหามีสัญชาติจีน แต่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี และภายหลังที่ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือเป็นล่ามภาษากลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย เคยได้รับการไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกันปรามปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ซึ่งหลังจากมีสถานะตกเป็นผู้ต้องหา รองผบ.ตร.อยู่ระหว่างปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทันที ส่วนตัวผู้ต้องหาปัจจุบันถือวีซ่าThailand Privilege Card หรือ วีซ่าประเภทพิเศษสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติ.