จากกรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยกองคดียาเสพติด ออกหมายเรียกนายพงษ์ศิริ ฐาราชวงศ์ศึก หรือ “บอสตาล” ประธานสโมสรฟุตบอลลำพูน วอริเออร์ และ นายศิริพงษ์ ฐาราชวงศ์ศึก หรือ “บอสต้น” ประธานสโมสรพิษณุโลก เอฟซี พร้อมผู้เกี่ยวข้อง เข้าชี้แจงในฐานะพยาน คดีพิเศษเลขที่ 8/2566 ดำเนินการเกี่ยวกับเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์และการฟอกเงิน นอกจากนี้ ยังมีตำรวจ 2 นาย ประกอบด้วย ร.ต.อ.ณัฐศักดิธัช (สงวนนามสกุล) และ ว่าที่ พ.ต.ต.ปภิณวิช (สงวนนามสกุล) 2 ลูกชายนายตำรวจดัง เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน หลังพบหลักฐานเส้นทางการเงินของ น.ส.ชบา ปะตะทะกัง (บัญชีม้าหลักเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์และยาเสพติด) เข้ามาพัวพัน โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้เข้าพบนายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และได้อ่านคำให้การเดิมของตัวเองเมื่อครั้งเป็นคดีพิเศษที่ 60/2563 แต่จำคำให้การดังกล่าวไม่ได้ จึงแจ้งเลื่อนชี้แจงเป็นวันที่ 5 มิ.ย. เพื่อขอกลับไปเตรียมข้อมูลและเอกสารต่างๆ ก่อน ตามที่ได้เสอนข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

2 ลูกชายนายตำรวจดังแจ้งป่วยติดโควิด ขอเลื่อนให้ปากคำโยงฟอกเงินเว็บพนัน ‘บอสตาล’

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด เปิดเผยว่า ร.ต.อ.ณัฐศักดิธัช ได้ขอเลื่อนพบพนักงานสอบสวนในวันกำหนดนัดหมายเดิม 5 มิ.ย. ออกไปก่อน 2 วัน เนื่องมาจากภายหลังปรากฏเป็นข่าวพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ ทางหน่วยงานตำรวจต้นสังกัดได้เรียกให้เข้าชี้แจงในวันที่ 6 มิ.ย. และจะประสานวันเข้าพบดีเอสไออีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนแจ้งประเด็นการสอบสวนแก่ ร.ต.อ.ณัฐศักดิธัช ไปก่อนหน้านี้นั้น เพื่อให้เจ้าตัวรวบรวมข้อมูลมาชี้แจงรายละเอียดว่าในสำนวนเดิม (เลขคดีพิเศษที่ 60/2563) ที่เคยให้การว่าเป็นเอเย่นต์เว็บพนัน มีรายชื่อเว็บอะไรบ้าง รวมถึงประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม

ส่วนกรณีของ ว่าที่ พ.ต.ต.ปภิณวิช (สงวนนามสกุล) นายพงษธร ระบุว่า ต้องตรวจสอบสำนวนคดีก่อนว่า เส้นทางการเงินที่ธนาคารจะส่งมาให้ดีเอสไอนั้น มีความเชื่อมโยงมากกว่าที่พบในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าพบเพิ่มเติมก็จะต้องเรียกเจ้าตัวเข้ามาชี้แจง หรือถ้าข้อมูลครบถ้วนแล้วก็อาจจะไม่ต้องเดินทางมาอีก เพราะในกรณีของ ว่าที่ พ.ต.ต.ปภิณวิช จากพยานหลักฐานเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับบัญชีม้า น.ส.ชบา แต่เกี่ยวข้องกับแค่ ร.ต.อ.ณัฐศักดิธัช ตามที่เจ้าตัวได้ให้การล่าสุดกับพนักงานสอบสวนว่าเป็นจำนวนเงินการรับ-โอนเกี่ยวกับการเช่าพระเครื่องและรับซื้อรถยนต์ ประมาณ 10 ล้านบาท เนื่องจากเจ้าตัวประกอบธุรกิจเต็นท์รถยนต์ ทั้งนี้ ดีเอสไอ ยังอยู่ระหว่างการขยายผลถึงบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป.