เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล พร้อมตัวแทน 8 พรรคการเมือง แถลงข่าวความคืบหน้าการประชุมหัวหน้าพรรคจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค ว่ามีวาระสำคัญ 2 เรื่อง 1.ประเมินสถานการณ์การเมือง ไทม์ไลน์จัดตั้งรัฐบาล 2.อัปเดตความคืบหน้าคณะทำงาน และคณะกรรมการประสานงาน ผลการประชุมหัวหน้าพรรค 8 พรรค เห็นตรงกันว่าน่ายินดีที่ กกต. จะรีบทำงาน รับรอง ส.ส. ให้ได้เร็วที่สุด 95% ถ้าเป็นไปอย่างประธาน กกต. ให้สัมภาษณ์ไว้ หรือแม้แต่สื่อเคยทำไทม์ไลน์ขึ้นมาว่า 13 ก.ค. เป็นวันสุดท้าย หลังจากนั้นจะมีกระบวนการต่อมา ส.ส. รายงานตัว เปิดประชุมสภาเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ และมีการถวายสัตย์ฯ ต่อไปนั้น

นายพิธา กล่าวว่า ทั้งนี้เห็นตรงกันว่ากระบวนการต่างๆ น่าจะเลื่อนเข้ามาเร็วมากขึ้น 2-3 สัปดาห์ หัวหน้าพรรคทุกคนต้องเตรียมพร้อมจัดเตรียมนโยบายแถลงต่อรัฐสภา ดูการเปลี่ยนผ่านงบประมาณ ที่น่าจะเข้าสภาช่วง ส.ค.-ก.ย. ถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วจะมีการบริหารจัดการงบกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลประชาชนได้รวมเร็ว มากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราจะขยับไทม์ไลน์ ส่วนเรื่องอัปเดตการทำงาน จะประชุมครั้งถัดไปวันที่ 20 มิ.ย. ที่พรรคไทยสร้างไทย โดยยังประสานไปยังคณะกรรมการประสานงาน และคณะทำงาน เพื่อจะตั้งเพิ่มขึ้นอีก 2 คณะทำงาน คือ 1. คณะทำงานเกี่ยวกับการปฏิรูปประมง 2.คณะทำงานเรื่องการดูแลการเปลี่ยนผ่านงบประมาณ

เมื่อถามว่า เมื่อที่ประชุมเห็นตรงเรื่องไทม์ไลน์จะขยับขึ้นมา ปัญหาเรื่องประธานสภา ระหว่างก้าวไกล เพื่อไทย จะจบได้แล้วใช่หรือไม่ นายพิธา ตอบว่ายังพูดคุยกันอยู่ แต่แน่นอนในเมื่อสิ่งที่สรุปได้กับหัวหน้าพรรคทั้งหมดว่า ในเมื่อมันไม่ใช่ 13 ก.ค. แล้วเลื่อนเข้ามา อาจจะ 2-3 สัปดาห์ แน่นอนว่า ทุกกระบวนการทำงาน ทั้งเรื่องบุคลากร นโยบาย งบประมาณ ก็สรุปได้ว่า ต้องเร่งรัดการทำงานมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี กกต. สอบถามพรรคก้าวไกลเรื่องการใช้สัญลักษณ์ค้อนเคียว อยากอธิบายเพิ่มเติมหรือไม่ว่า จุดยืนเรื่องการใช้สัญลักษณ์ ทั้งหาเสียงโดยตรงโดยอ้อมเป็นอย่างไร ประเทศไทยในตอนนี้แม้กระทั่งจะตั้งชื่อพรรค ว่าพรรคสังคมนิยมยังทำไม่ได้ ไม่ทราบว่ามีเจตนาที่ไปแก้รัฐธรรมนูญในอนาคตเรื่องเกี่ยวข้องตรงนี้หรือไม่ ญี่ปุ่น สวีเดน มีพรรคคอมมิวนิสต์ และมีกษัตริย์ทั้งคู่ นายพิธา กล่าวว่า ตนคงจำกัดคำตอบเฉพาะที่ตนรู้ คงไม่ไปถึงสวีเดน ญี่ปุ่น ที่ตนยังไม่มีความชัดเจนตรงนี้ สำหรับพรรคก้าวไกลก็คือคำชี้แจงตามที่โพสต์เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า เป็นการแสดงออกถึงเครื่องมือทำมาหากินของปาร์ตี้ลิสต์ที่อยู่ใน 100 คน ที่มีทั้งพี่น้องเกษตรกร และแรงงาน จุดประสงค์ที่มีอยู่ก็มีอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

เมื่อถามว่ามีนายทุนกลุ่มทุนสหพัฒน์ฯ ออกมาแสดงความไม่มั่นใจว่า จะบริหารประเทศล้มเหลวทางเศรษฐกิจ จะเป็นเหมือนยูเครน นายพิธา กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ มันยังต้องมีโอกาสพูดคุยกับทุนเก่า นักธุรกิจหลายๆ คน และต้องบอกว่า การอนุมานจากประเทศหนึ่งไปอยู่กับประเทศหนึ่ง ตามที่พูดมาคือยูเครน ตนติดว่าผิดบริบทไปเยอะ ไม่ได้เป็นส่วนที่จำเป็นที่จะต้องอนุมานที่เกินกันไป แต่ขณะเดียวกันเรื่องความเชื่อมั่นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนนี้ พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นไปเรื่อย ๆ ในเรื่องการบริหารจัดการเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ทำงานเพื่อคนทุกคน

เมื่อถามว่า ผ่านไป 4 สัปดาห์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ยังไม่โทรฯ มาเเสดงความยินดีที่ชนะเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่มีการโทรฯ มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจว่า ธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองของตนกับ พล.อ.ประยุทธ์ คงต่างกัน ขณะเดียวกันวันหนึ่ง ถ้าตนเป็นนายกฯ แล้วมีการเลือกตั้ง แล้วถ้าเกิดตนแพ้การเลือกตั้ง ตนก็ต้องเป็นคนโทรฯ หาผู้ชนะ และก็ยอมแพ้ เพื่อที่จะให้การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลมันไร้รอยต่อมากที่สุด ถ้าเอาประชนชนมาเป็นที่ตั้ง

เมื่อถามว่าที่บอกว่าเคยเป็นผู้จัดการมรดกหุ้นไอทีวี เริ่มเมื่อไร จบเมื่อไร และหุ้นดังกล่าวนั้นได้รับมาเมื่อไร และการเป็น ส.ส. เมื่อปี 62 ยังถือหุ้นดังกล่าวอยู่หรือเปล่า นายพิธา กล่าวว่าเรื่องหุ้น ต้องรอฟังรายละเอียด กกต. การเป็นผู้จัดการมรดกของตนก็เริ่มตั้งแต่เมื่อศาลสั่ง จนกระทั่งถึงตนโอนหุ้น เมื่อถามต่อว่า เป็นผู้จัดการอย่างเดียวหรือเป็นผู้รับโอนด้วย นายพิธา ตอบว่า เป็นผู้จัดการมรดกอย่างเดียวไม่ได้รับโอน

ต่อคำถามที่ว่า กกต. มีการตั้งประเด็นนี้ไว้แล้วและอาจจะเป็นการเข้าข่ายรู้อยู่แล้ว ยังมาลงสมัคร มีคำชี้แจงหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่เห็นเมื่อวานมีข่าวออกมา แต่พออ่านข่าวพารากราฟสุดท้ายก็บอกว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอ และต้องมีการพิจารณากันอยู่ เนื้อหาที่ออกมาก็คือ ทาง กกต. ยังจัดการเรื่องการตั้งรูปคดีอยู่ ตรงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบมากไปกว่านี้ รอความชัดเจนจาก กกต. เพราะได้อ่านจากในรายละเอียดข่าวแล้ว ไม่ได้อ่านเฉพาะพาดหัว

เมื่อถามว่า ที่บอกว่ามีกระบวนการฟื้นฟูไอทีวี อยากให้นายพิธาระบุว่าใครอยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครอยู่อยู่เบื้องหลัง แต่อย่างที่บอกว่า มีหลายท่านส่งข่าวมาที่ตน ซึ่งต้องพูดกันให้ชัด ไม่ว่าพยายามจะฟื้นคืนชีพมาด้วยเหตุผลทางธุรกิจของผู้บริหารเอง หรือพยายามจะฟื้นคืนชีพมาเพื่อเหตุผลทางการเมืองเพื่อที่จะสกัดกั้นตน ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความน่าจะเป็น มันมีอยู่ในอนาคต เมื่อความน่าจะเป็นมีอยู่ในอนาคต ตนต้องบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต ย้ำว่า ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งเรื่องหลักฐานต่างๆ หรือหลักกฎหมายในการตัดสิน ถ้าบริสุทธิ์ยุติธรรม มีมาตรฐานเดียวกันมา ตนคิดว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล ก็คงตอบได้เท่านี้

เมื่อถามว่าหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ส่งผลให้นายพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และการตัดสินใจเลือกแคนดิเดตจะมาจากพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกล ใครเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินนั้น นายพิธา กล่าวว่า อุบัติเหตุทางการเมือง เราก็อนุมานได้หลายรูปแบบ แต่เป็นสิ่งที่เราเตรียมตัวไว้หมดแล้วในทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อทำให้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้น้อยที่สุด

เมื่อถามว่ากรณีหุ้นไอทีวี ที่มีการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เมื่อปี 62 เป็นการถือหุ้นหรือเป็นการจัดการมรดก และหากเป็นการจัดการมรดก เป็นไปตามพินัยกรรมหรือคำสั่งศาล นายพิธา กล่าวว่า ขอรอดูรายละเอียดจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน ส่วนที่มีคนตั้งขอสังเกตว่า นายพิธา จะเจอ 3 ด่าน คือ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่คนเชียร์เยอะมาก แต่ข่าวที่ออกมามีแต่ประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวี

นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลแต่ไม่ประมาททั้ง 3 ด่าน ตนมีการวางแผนทำงานและมีคีย์แมนดูแลทั้ง 3 ด่าน และยังสามารถเดินหน้าทำงานต่อไป แต่ไม่ประมาท และขอให้ประชาชนอย่ากังวลใจจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ส่วนที่มีรายงานข่าวว่า นายพิธา ไปค้ำประกันหนี้สินจำนวนหนึ่ง แต่ไม่แจ้ง ป.ป.ช. จะมีผลต่อคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา เพราะมีการประสานงานกับ ป.ป.ช. โดยตลอด ซึ่งยังไม่เห็นข้อมูลทั้งหมด แต่หากมีคนร้องจริงหรือมีคำถามจาก ป.ป.ช. ยินดีที่จะชี้แจงเช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้น แต่เป็นเรื่องปกติที่จะมีเรื่องต่างๆ เพื่อมาสกัดกั้น และไม่ได้กังวลใจแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงกรณีที่จะให้ใบแดงว่าที่ ส.ส. หากพรรคก้าวไกลถูกใบแดง อาจส่งผลให้สัดส่วนการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยน พรรคเพื่อไทยกลับมีจำนวน ส.ส. มากกว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะมีเปลี่ยนสมการหรือไม่ และยังมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่หรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า การประกาศรับรอง ส.ส. ต้อง 475 คน หรือ 95% แต่หากจะมีการแจกใบแดง 20 คนจริง ก็ไม่มีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือเปิดประชุมสภา ส่วนจะถึง 20 คนจริงหรือไม่ จากการสอบถามภายในไม่ได้มีการร้องมาทางฝั่งนี้ น่าจะเป็นฝั่งตรงกันข้าม แต่หากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคก้าวไกลมีความพร้อมเลือกตั้ง และอาจทำให้พรรคได้ ส.ส. มากขึ้นด้วยซ้ำไป

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยอมวางมือทางการเมือง ทำให้ ส.ส. พรรคอาจจะหาที่อยู่ใหม่ หรืออาจพิจารณามาอยู่พรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นๆ เป็นเรื่องดีหรือไม่ ที่ 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะมีสมาชิกเพิ่ม ทางพรรคเพื่อไทยจะอ้าแขนรับหรือไม่

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้มีการพูดคุย ไม่ได้มีการสมมุติว่าจะเกิดขึ้นด้วย และพรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองให้มากที่สุด จากการพูดคุยขณะนี้ ยังคงมั่นใจว่า จัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะฉะนั้นการสมมติถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ขออนุญาตไม่สมมุติ และมั่นใจว่า จะไม่เกิดขึ้น