ดังนั้นก้าวต่อไปในสัปดาห์แรกของเดือนส.ค. จะว่ากันด้วยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโหวตเลือกประธานสภา และประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จุดนี้อาจจะมีการยืดเยื้อถึงไป 2-3 สัปดาห์ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ และสุดท้ายประมาณกลางเดือน หรือปลายเดือน ส.ค. รัฐบาลรักษาการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่

วาระร้อนที่ต้องจับตากับการเมืองไทย ที่ต้องฝุ่นตลบไปด้วยข่าวลือ ข่าวลวง ที่ออกมากันรัวๆ ล่าสุด ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องออกมาปฏิเสธข่าว กรณี กกต.แจกใบแดงว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล 10 คน เนื่องจากว่า ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แถมยังเล่นหนักโดยมีผู้โพสต์ใน TikTok ใช้ชื่อบัญชีว่า “arfanpppppp” ระบุว่า “ด่วนที่สุด กกต. ส่งหนังสือยุบพรรคก้าวไกล” แล้ว

กกต.ต้องรีบออกมาชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เฟคนิวส์ ข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะเรื่องยุบพรรคปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 รวบรวมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เสนอให้ กกต. พิจารณาวินิจฉัยสั่งการ

นอกจากนี้ยังมีข่าวพลิกขั้วการจับมือจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่รวมกับประเด็นร้อน ที่บรรดานักร้องรุมขุดปมร้อนร้องสอย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ทั้งเรื่องการถือหุ้นสื่อไอทีวี การไซฟอนเงิน ล่าสุด การโฆษณาสุรา เชื่อว่าเรื่องร้องน่าจะยังไม่สิ้นสุด และคาดว่าจะมีการยื่นร้องเข้ามาอย่างรัวๆ ถือเป็นเรื่องร้อนที่ กกต.ต้องรับมือ

แต่ ล่าสุด กกต.ได้มีการส่งเรื่องให้พรรคก้าวไกลชี้แจง รูปการ์ตูนมีสัญญาลักษณ์รูปค้อนเคียว เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขทั้งที่ไม่มีคนร้องแต่ กกต.หยิบมาพิจารณาก่อนด้วยความเร่งรีบเขียนชื่อพรรคผิด ขณะที่คดีถือหุ้นสื่อไอทีวียังอยู่ในชั้นสำนักงาน กกต.ที่รวมรวมข้อเท็จจริง ไม่รีบพิจารณา จนทัวร์ลงถูกด้อมส้มแห่เข้าไปคอมเมนต์ในเพจสำนักงาน กกต.ถล่มยับจนต้องปิดคอมเมนต์

ขณะที่ พรรคก้าวไกลเดินแผนตัดตอนด้วยการให้ “พิธา” โอนหุ้นให้ญาติ หนีปมร้อนตัดไฟก่อนลามไปสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผล ที่ว่า “มีกระบวนการฟื้นไอทีวี ซึ่งไม่ทราบว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง โดยมีหลายคนส่งข่าวมาให้ จึงต้องพูดกันให้ชัด ไม่ว่าพยายามจะฟื้นคืนชีพมาด้วยเหตุผลทางธุรกิจของผู้บริหารเอง หรือพยายามจะฟื้นคืนชีพมาเพื่อเหตุผลทางการเมือง เพื่อที่จะสกัดกั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความน่าจะเป็นมันมีอยู่ในอนาคต เมื่อความน่าจะเป็นมีอยู่ในอนาคต จึงต้องบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้

สัญญาณ “พิธา” ประกาศชัดพร้อมเดินหน้าชน ทั้ง 3 ด่าน ไม่ว่าจะเป็น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญและสมาชิกวุฒิสภา เตรียมการเปลี่ยนผ่านอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลที่มี “พิธา” เป็นนายกฯ ให้สำเร็จจงได้ในที่สุด ไม่มีใครหรืออำนาจไหน มาสกัดกั้นฉันทานุมัติของพี่น้องประชาชน ที่ได้แสดงออกไปเมื่อการเลือกตั้ง 14 พ.ค. ให้พรรคก้าวไกลเข้ามาถึงกว่า 14 ล้านเสียง

ถึงอย่างไร “พิธา” ก็ประมาทไม่ได้ จึงได้มีการวางแผนทำงาน โดยมีคีย์แมนดูแลทั้ง 3 ด่าน และยังเชื่อว่าสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปขอให้ประชาชนอย่ากังวลใจมั่นใจพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน

ขณะที่บรรดานักวิชาการนักกฎหมาย ต่างมองว่าการถือหุ้นสื่อไอทีวี จะกลายเป็นเหตุการณ์ซ้ำรอยเดียวกันกับคดีถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2562 หรือไม่ ดังนั้น กรณีของ “พิธา” ที่ถือหุ้นมาก่อนปี 62 แล้วถ้าศาลเห็นว่า มีความผิดแล้วชี้ย้อนไปถึงตั้งแต่ปี 62 จะส่งผลกระทบคุณสมบัติ ส.ส. บวกพาลามไปถึงแคนดิเดิตนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่ “พิธา” ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นไปได้สูง

สิ่งที่จะเกินขึ้นต่อจากนี้ คือ “พิธา” ต้องฝ่าด่าน ส.ว. ที่จะลากเอาเหตุผลคุณสมบัติ “พิธา” มาเป็นข้ออ้าง เงื่อนไขในการเขี่ย “พิธา” ออกจากบัลลังก์นายกรัฐมนตรี

ทำให้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ผู้นำจิตวิญญาณ ต้องออกมาดักทางเลี้ยงกระแสด้อมส้ม ชี้ให้บรรดาเหล่าด้อมส้มทั้งหลาย ได้เห็นว่า เวลานี้ “พิธา” กำลังเผชิญหน้ากับ นิติสงคราม ผ่าน 2 กลไก สำคัญ กลไกแรก กระบวนการทำให้ประเด็นทางการเมืองเป็นคดี และอยู่ในมือศาล รัฐธรรมนูญแปลงสภาพเรื่องการเมืองให้กลายเป็น ข้อพิพาทคดีความ แล้วสร้างศาลและองค์กรอิสระที่ถูกทำให้เชื่อว่า ศักดิ์สิทธิ์ เป็นกลาง อิสระ ที่มีอำนาจเด็ดขาดในการชี้ขาดจากการที่มีนักร้อง ทำหน้าที่ร้อง เขี่ยลูกเปิดเกม แทงสนุ้กลูกขาวระเบิดกลุ่มแดง เพื่อให้ศาลและองค์กรอิสระมาจัดการกวาดหมดโต๊ะ

กลไกที่สอง กระบวนการนำเรื่องการเมืองซึ่งอยู่ในมือศาลแล้ว เอาไปไว้ในมือสื่อ หรือ Mediatization of Jucial/Political Cases เมื่อนักร้องเริ่มต้น ก็จะมีสื่อทำหน้าที่ปั่นข่าวทุกวัน นิติสงคราม ยังใช้กลไกสื่อกลบหลักการคุณค่าพื้นฐานไปเสียหมด ดังนั้น เราต้องร่วมกันหยุดสองกลไกนี้ ไม่ให้หนังม้วนเก่าที่ฉายซ้ำหลายรอบวนเวียนตั้งแต่ปี 2548 กลับมาหลอกหลอนสังคมไทยอีกต่อไป

เกมนี้พรรคก้าวไกลจึงต้องปั่นกระแสกดดันองค์กรอิสระ เพราะสู้ด้วยตามลำพังไม่ได้ เพราะเครื่องจักรค่ายกล ตามรัฐธรรมนูญกำลังเดินเครื่องบดขยี้พรรคก้าวไกล ด้วยการใช้ “ตุลาการภิวัฒน์ภาค 2” ขึ้นมาจัดการ

ตามมาด้วยกลุ่มมวลชนเริ่มขยับ ล่าสุด มีมวลชนกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย และตัวแทนจากเครือข่ายแรงงาน เพื่อสิทธิประชาชน ยื่นหนังสือกดดัน กกต.เร่งเกมให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งโดยเร็ว ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.ร้อยละ 95 ภายใน 20 มิ.ย. 2566 เพื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และประชุมรัฐสภา โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด และไม่ควรรับคำร้องกรณี “พิธา” ถือหุ้นสื่อไอทีวีไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจาก กรณีดังกล่าว เป็นการใช้ข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเป็นการสมคบคิดกับกลุ่มอำนาจเก่าทำลายล้างประชาธิปไตย รวมทั้งจะกลายเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และจะทำให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงกันขนานใหญ่ได้

จากการประมวลสถานการณ์ต่างๆ แล้วพรรคก้าวไกลอาการหนักโอกาสรอดแทบมองไม่เห็น ถ้าเกมเปลี่ยน “พิธา” ถูกสอยขึ้นมาจริงๆ ตามเอ็มโอยู ที่ยังคงผนึกกันแน่น สุดท้ายเก้าอี้จะตกไปอยู่ที่พรรคอันดับสองอย่าง พรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอน ซึ่ง พรรคเพื่อไทย ก็อ่านเกมรอวางหมากดัน “เศรษฐา ทวีสิน” หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพื่อไทย ขึ้นนั่งเก้าอี้ สร.1 นายกรัฐมนตรี โดยมีการรวบตึงปล่อยข่าวเป็นระบบ ว่า “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อายุยังน้อยแค่เพียง 37 ปี พรรษาไม่ถึงนั่งนายกฯ และ “คุณหญิงแม่” คุณหญิงพจมาน ป้อมเพชร ขอให้รอไปก่อน 5 ปี พร้อมข้ามซอตไปติดเบรก “ทักษิณ ชินวัตร” ขออย่าเพิ่งกลับไทยเพราะยังไม่มั่นใจว่า จะถูกหลอกหรือไม่ ถ้าจะกลับก็ขอให้กลับหลังตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หรือมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย

ท้ายที่สุด “ทักษิณ” จะได้กลับมาตามหรือไม่ เนื่องจากเบื้องต้นในทางลับได้มีการดีล จนกระทั่งกรมราชทัณฑ์ ได้ปรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566 ใหม่ ที่หลายคนมองว่าเป็นการเอื้อให้กับ “ทักษิณ” นอกจากนี้ยังได้มีการจัดหาสถานที่เตรียมรองรับไว้ ด้วยเงื่อนไขปัญหาสุขภาพที่ต้องดูแลด้วยการไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและให้ติดกำไลอีเอ็ม เหมือนที่ “กำนันเป๊าะ” สมชาย คุณปลื้ม เคยได้รับมาก่อน

ขณะที่กลุ่มอำนาจเก่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยังไม่เก็บของ พร้อมบอก ครม.ไม่ต้องพูดเรื่องการเมือง ให้พูดแต่เรื่องงานในกระทรวงที่ทำเท่านั้น ขอให้รัฐมนตรีนิ่งและรอดูความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และรอดูคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรอง ส.ส. เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีการให้ใบเหลือง ใบส้มกันหรือไม่ และจะเลือกตั้งซ่อมกันกี่เขต พร้อมปัดเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย “ไร้สาระ”

การเมืองยังลูกผีลูกคน อะไรก็เกิดขึ้นได้ นาทีนี้คงต้องจับตาดูเพราะเป็นอีกหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย!!.