เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดหลักฐานการโอนหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล โดยเป็นหลักฐานจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุนายพิธาโอนหุ้นจำนวน 42,000 หุ้น ให้กับนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชาย ในวันที่ 25 พ.ค. 66 รวมถึงเปิดงบการเงินฉบับย่อของบริษัทไอทีวี และบริษัทย่อย ที่ระบุว่า 24 ก.พ. 66 มีการนำเสนอการลงสื่อให้กับกิจการที่เกี่ยวข้อง และวันที่ 28 เม.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา

นายเรืองไกร กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้เพื่อเตือนความจำนายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่ตอบว่าจำไม่ได้ว่าโอนหุ้นไปเมื่อไหร่ ส่วนเอกสารงบการเงินฉบับย่อที่ตนนำมาเปิดเผยเป็นการบ่งชี้ว่า บริษัทมีการดำเนินธุรกิจสื่อ ทั้งนี้เอกสารสำคัญที่ควรจะดูคือหมายเหตุประกอบงบการเงิน ไม่ใช่คำถามท้ายรายงานการประชุมที่มีการนำออกมาเผยแพร่กันในขณะนี้ โดยหมายเหตุข้อ 10 ซึ่งออก ณ วันที่ 31 มี.ค. 66 ระบุว่า 24 ก.พ. 66 เขาทำธุรกิจสื่อแล้วตามที่เขาอธิบายเป็นสื่อมวลชน ไม่ได้กลับมาทำสถานีไอทีวีแล้ว เขาทำสื่ออื่นแล้ว

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) กำหนดเพียงห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ ซึ่งกรณีนี้เข้าลักษณะของสื่อมวลชนใดๆ และการที่ กกต. ตีตก 3 คำร้องถือหุ้นสื่อของนายพิธา ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อ กกต. ประกาศรับรองผล ส.ส. นายพิธา มีสถานะเป็น ส.ส. แล้ว ตนก็จะยื่นร้องใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ยิ่งจะเป็นผลดี เพราะเรื่องจะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีความแน่นอนกว่าการไปศาลฎีกา

กรณีมีการเปิดคลิปรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นออกมากันในขณะนี้ ไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นที่ร้อง เพราะกฎหมายเขียนว่าห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนใดๆ พยานหลักฐานที่ควรไปดูคือ 1.นายพิธาถือหุ้นตามทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นตามรายงานการประชุม 2.ทำธุรกิจสื่อมวลชนใดๆ ก็ไปดูวัตถุประสงค์การจดทะเบียนบริษัท และดูจากหมายเหตุงบการเงิน ส่วนไปประชุมผู้ถือหุ้น ถามตอบแล้วแล้วจดถูกผิดบ้างก็เป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นกับบริษัท เมื่อมีการจดผิดผู้ถือหุ้นรายนี้ ก็ต้องไปแจ้งให้มีการแก้ไขรายงานการประชุม ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่าเขาจดผิด เพราะมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง มันจะเกี่ยวอะไร เหมือนกับการประชุมกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ที่หลังการประชุมก็จะให้สมาชิกมาตรวจดูว่า มีการจดรายงานการประชุมถูกต้องหรือไม่ ถ้าจดผิดก็ให้ไปแก้ไขก็เท่านั้นเอง

เมื่อถามว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยในขณะนี้ เหมือนต้องการชี้ว่าบริษัทไอทีวี ไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว การจะทำสื่อหรือไม่จะต้องดูที่รายได้ ดูวัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท เหมือนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ซึ่งศาลไม่ได้ดูที่รายงานผู้ถือหุ้นที่มีการถามตอบกัน ส่วนที่ระบุว่าศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 56 ว่าบริษัทไอทีวี ปิดไปแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการที่นายพิธา ถือหุ้นแล้วไม่ผิด เพราะกฎหมายห้ามผู้สมัครไม่ให้ถือหุ้นสื่อ ซึ่งนายพิธาก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี 42,000 หุ้น โดยไม่ได้มีการระบุท้ายการถือหุ้นว่า เป็นผู้จัดการมรดก และหมายเหตุงบการเงินปี 66 ของบริษัทก็ระบุว่า บริษัททำสื่อมวลชนแขนงอื่นนอกจากสถานีไอทีวีแล้ว เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 66 และจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้

“คำว่าสื่อมวลชนหมายความว่าอะไร ตอนรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุถึงวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และเดี๋ยวนี้คำว่าแมสมีเดีย มันมีทั้งอนาล็อก และดิจิทัล ซึ่งก็เข้าตามวิชาการอยู่แล้ว ถามว่าสมัยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการถือหุ้นของนายธนาธร บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ก็ไม่ได้ทำสถานีโทรทัศน์เหมือนกับไอทีวี หรือพิมพ์หนังสือเหมือนมติชน หรือไทยรัฐ แต่เขาพิมพ์หนังสืออื่น จึงไม่ต้องไปดูว่าไอทีวีมีการออกอากาศ หรือยุติการออกอากาศแล้ว จะแก้ประเด็นเอาเก่งๆ แม่นๆ หน่อย ในพรรคมีคนตั้งเป็นร้อย คนเชียร์ตั้ง 14 ล้าน หาคนเก่งไม่ได้เลยหรือ” นายเรืองไกร กล่าว.