เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1688/2564 และคดีหมายเลขดำที่ 2763/2564 ศาลรวม 2 สำนวนในการพิจารณา ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน กับพวก รวม 12 ราย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 116, มาตรา 215 วรรคสาม และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอกจัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 18 ก.ค. 63 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้หัวข้อเรื่อง “ใครไม่ทนให้ไปกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”

จำเลยทั้งสิบสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ศาลอาญาพิจารณาแล้ว การที่จำเลยทั้งสิบสองเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมลงมาบนถนนราชดําเนินกลางในลักษณะเดินลงมาบนพื้นผิวจราจรเต็มพื้นที่บนถนนราชดําเนินกลางบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์และติดตั้งเวทีบนถนนราชดําเนินกลางบริเวณขอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1-8, 10, 11 ได้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนเวที โดยไม่ได้คํานึงว่าจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎหมายใดๆ อันเป็นการแสดงให้ปรากฏต่อประชาชนด้วยวาจาหนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทํา ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฏหมายแผ่นดิน แต่ลักษณะการกระทำยังไม่ส่อเจตนาว่าเป็นการทำถึงขนาดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 การกระทำของจำเลยทั้งสิบสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดบนถนน อันเป็นการกีดขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 19, 57 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ปรับจำเลยทั้งสิบสองคนละ 1,000 บาท ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นกระทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง กับฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน รวมจำคุกจำเลยทั้งสิบสองคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

ยกฟ้องความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ และฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 จึงสามารถจัดกิจกรรมการชุมนุมได้เพียงแต่ข้อกำหนดฯ บังคับให้ผู้จัดการชุมนุมต้องมีมาตรการป้องกันโรคเท่านั้น และการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ และไม่มีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดว่า จำเลยคนใดเป็นผู้กระแทกแผงเหล็กใส่ผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ในส่วนของจำเลยที่ 9 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่าข้อความตามป้ายที่จำเลยที่ 9 ถ่ายภาพโพสต์ลงในเฟซบุ๊กยังไม่ถึงขนาดที่จะส่อเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร จำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 12 คน ประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายภาณุพงศ์ จาดนอก, นายอานนท์ นำภา, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, นายกรกช แสงเย็นพันธ์, น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก, นายธนายุทธ ณ อยุธยา, นายบารมี ชัยรัตน์, นายทศพร หรือ ทศ สินสมบุญ, นายเดชาธร บำรุงเมือง, นายธานี สะสม, น.ส.เนตรนภา อำนาจส่งเสริม