และถ้าถึงวันที่ กกต. รับรองสถานะ ส.ส. ของ “พิธา” ก็จะเริ่มนับ 1 เริ่มเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อ “แคนดิเดต นายกรัฐมนตรี คนที่ 30” วันนั้น “พิธา” ก็จะเริ่มนับ 1 ในการเจอมรสุมทางการเมือง ดับฝัน เก้าอี้นายกรัฐมนตรีเช่นกัน

เอาแค่ ด่านแรก ที่ต้องมาลุ้นด่านแรก จากการที่ กกต. งัด มาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ระบุว่า “กรณีที่ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นกำหนด 20 ปี” และด้วยคุณสมบัติของ “พิธา” ที่ “ติดล็อก” ย่อมแน่นอนว่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “สภาสูง” เป็นข้ออ้างที่มีน้ำหนักมากเพียงพอในการไม่โหวตให้ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกับกรณีคุณสมบัติของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่  ในการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 มิ.ย. 2562

เพราะ ด่านสุดหิน จริงๆ ของ “พิธา” คือ เสียง 250 ส.ว. ที่พรรคก้าวไกล จะต้องหาอีกอย่างน้อย 64 เสียง เพื่อมาเติมแต้มของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล 312 ที่นั่ง เพื่อให้ครบ 376 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา ที่ ส.ว. ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มไม่โหวตให้อยู่แล้ว จากพิษ มาตรา 112 ล่าสุดยังมาเจอ 151 ซ้ำเข้าไปอีก โอกาสจะได้เสียงจาก ส.ว. ยิ่งริบหรี่ลงเรื่อยๆ 

เช่นเดียวกับ “พิธา” ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับคุณสมบัติของการเป็น ส.ส. ของตัวเอง ถึงแม้จะเจอวังวน “นิติสงคราม” จากการจับสัญญาณเดินเกมการเมืองของ “พิธา” เดินสายพบองค์กร ผู้ประกอบการรับฟังปัญหาต่างๆ รวมถึงการเดินสายขอบคุณประชาชนในจังหวัดต่างๆ ที่เลือกตั้งว่าที่ ส.ส.ก้าวไกล ก็เป็น จิตวิทยา เดินหน้าสร้างพวก สร้างเครือข่าย สร้างความชอบธรรม

ล่าสุดวันที่ 14 มิ.ย. “พิธา” เดินสายขอบคุณชาวลำปาง โดยมีบางช่วงระบุว่า “…อย่าเพิ่งเบื่อการเมือง เพราะหากเบื่อเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า พวกเขาจะชนะทันที เพราะถือเป็นกุศโลบายของผู้มีอำนาจ ที่จะทำให้การเมืองสกปรก ซ้ำซาก และเมื่อไหร่ที่ประชาชนเบื่อ เลิกตรวจสอบ พวกเขาจะชนะทันที และงานที่เริ่มต้นมาก็จะสูญเปล่า…” พร้อมกับถามชาวลำปางที่มาฟังการปราศรัยว่า “พี่น้องจะยอมพวกเขาหรือ” ซึ่งผู้ที่ฟังอยู่ก็ส่งเสียงตอบกลับมาว่า ไม่ยอมๆๆ”

จุดเดือด น่าจะเกิดขึ้นช่วงเดือน ส.ค. ในช่วงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หากนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ชื่อ “พิธา” สังคมคงเกิดแรงกระเพื่อม เพราะมีประชาชนผู้สนับสนุนเลือกถึง 14 ล้านเสียง จะต้องออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ “พิธา” แน่นอน ขณะที่ ขั้วฝั่งตรงกันข้าม ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว ประกาศ พร้อมลงถนน เช่นกัน โดยเฉพาะหากมีการพาดพิงถึงสถาบัน  

ในเมื่อทุกฝั่ง ทุกฝ่าย ต่างก็มีม็อบเป็นของตัวเอง ซึ่งหมายถึง “ม็อบ” ชน “ม็อบ” เกิดการบาดเจ็บ สูญเสีย และจบลงด้วยวงจรอุบาทว์แบบเดิม… เกิด “รัฐประหาร” ไม่จบไม่สิ้น.