เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (หัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เป็นประธานการประชุม ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจเมาแล้วขับเฉี่ยวชนรถผู้อื่นได้รับความเสียหาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และผู้เสียชีวิต 2 ราย เหตุเกิดบนถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ หน้าปั๊ม ปตท. หมู่ 5 ตำบลพยอม อำเภอวังน้อย จังหัวดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ สภ.วังน้อย

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. แจ้งข้อกำชับการปฏิบัติในการประชุมขับเคลื่อนติดตามสถานการณ์ประจำวันนี้ ซึ่งมีทุกหน่วยงานในระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ รับทราบ โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยกำชับ กำกับ สอดส่อง ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับ ในเรื่องการดื่มสุรา การประพฤติตนไม่สมควร และการกระทำความผิดตามกฎหมาย อันจะทำให้ราชการได้รับความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของหน่วยงาน ซึ่งกรณีหากถูกดำเนินคดีในความผิดฐานเมาแล้วขับนั้น มีอัตราโทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ร.ต.อ.เมาขับพุ่งข้ามเลนเสยจยย. ตาย 2 สาหัส 2 จับเป่าวัดได้ 130

และหากเป็นการกระทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก จะมีการเพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 ถึง 100,000 บาท และถ้าการเมาแล้วขับนั้นเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ต้องระวางโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที นอกจากนี้จะต้องถูกลงโทษทางวินัยอีกด้วย มีทั้งความผิดวินัยร้ายแรง (หากเป็นการเมาสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่) ซึ่งมีอัตราโทษ ไล่ออกจากราชการ หรือวินัยไม่ร้ายแรง (ไม่ได้อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่) ก็จะมีอัตราโทษ กักขัง หรือ กักยาม ตามแต่กรณี และหากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ต้องโทษจำคุก (โดยไม่รอลงอาญา) ก็จะต้องถูกลงโทษ ให้ออกจากราชการ ปลดออก หรือไล่ออกแล้วแต่กรณีอีกด้วย