เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นางสำเนียง ชูรัตน์ อายุ 58 ปี ชาว จ.อุดรธานี หลังได้รับการร้องเรียนว่าได้เข้าช่วยเหลือหญิงชราวัย 72 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ดอ อกจากบ้านไปทำงานก่อสร้างตั้งแต่เด็ก และไม่มีบัตรประชาชน ทำให้ไม่ได้รับสวัสดิการของรัฐ ทั้งการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและเบี้ยยังชีพคนชรา ซึ่งได้พาไปติดต่อขอทำบัตรประชาชนที่ภูมิลำเนา แต่ปรากฏว่าโดนย้ายชื่อเข้าทะเบียนราษฎร์กลาง และเปลี่ยนคำนำหน้าจาก “น.ส.”กลายเป็น “นาย” โดยมีพี่น้องที่คลานตามกันออกมา ญาติ และผู้ใหญ่บ้านพร้อมเป็นพยานยืนยัน แต่สุดท้ายปลัดอำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด บอกให้รอ ต้องตรวจสอบก่อน ซึ่งผ่านมา 5 เดือน ยังไม่มีความคืบหน้า

นางสำเนียง เล่าว่า เมื่อปี 2565 ตนเดินทางไปหาเพื่อนที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา และพบหญิงชราทราบชื่อภายหลังว่านางบุญยัง บุญเรือง หรือยางนาง อายุ 72 ปี ชาว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด อาศัยอยู่ในกระท่อมตามลำพังข้างบ้านเพื่อน ซึ่งกระท่อมมีลักษณะผุพัง ฝนตกมาหลังคาจะรั่วเห็นยายนางจะเอาพลาสติกมาคลุมศีรษะเอาไว้ ตนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจึงได้สอบถามยายนาง ก็เล่าว่าพื้นเพเป็นชาวร้อยเอ็ดออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็กไปทำงานก่อสร้าง ย้ายไปเรื่อยๆ อาศัยอยู่ที่แคมป์คนงานกระทั่งอายุมากขึ้น ป่วยหลายโรค ทำงานไม่ได้ จึงมาขออาศัยปลูกเพิงพักคนใจดี เมื่อพาไปหาหมอ ปรากฏว่าไม่มีบัตรประชาชน ทำให้เข้าระบบสวัสดิการของรัฐไม่ได้ เจ้าหน้าที่ให้ไปทำบัตรมาก่อน ตนจึงอาสาพายายนางมาทำบัตรประชาชน

นางสำเนียง เล่าต่อว่า ตนได้พายายนางไปหาญาติพี่น้องที่บ้านสะอาดนาดี อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ไปพบกับพี่น้องและญาติ ซึ่งต่างก็ดีใจที่พี่สาวคนโตยังมีชีวิตอยู่ ตนได้ปล่อยให้ยายนางอยู่กับพี่น้อง ไม่นานยายนางก็โทรกลับมาหาเพื่อนที่อ.ภาชี บอกว่าไม่อยากอยู่กับน้องแล้ว จึงเดินทางกลับไปอยู่ที่เดิม กระทั่งเดือนมีนาคม 2566 ตนได้ไปรับยายนางมาอยู่ที่บ้าน เพื่อดำเนินการขอทำบัตรประชาชน ปรากฏว่ามีชื่ออยู่ในทะเบียนกลาง ชื่อ “น.ส.บุญยัง บุญเรือง” กลายเป็นชื่อ “นายบุญยัง บุญเรือง” ซึ่งเป็นทะเบียนราษฎร์แบบเก่า ผู้ใหญ่บ้านนาโพธิ์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านเกิดก่อนย้ายมา อ.เสลภูมิ และญาติ ต่างยินดีมาเป็นพยานให้การทำบัตรประชาชนให้ยายนาง

“แต่ปลัดอำเภอเสลภูมิบอกว่าต้องรอการสอบสวนก่อน ซึ่งตนได้ขับรถพายายนางไปดำเนินเรื่องขอทำบัตรประชาชน 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2566 ได้รับคำตอบจากปลัดอำเภอเสลภูมิเพียง รอการตรวจสอบก่อน จึงได้ขับรถพายายนางไปหาเพื่อนที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ระหว่างทางได้เกิดอุบัติเหตุฝนตกหนักรถเสียหลักตกร่องกลางถนนพลิกคว่ำหลายตลบ ตนฟกช้ำ แต่ยายนางศีรษะแตก ที่อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ซึ่งผ่านมา 5 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้า” นางสำเนียง กล่าว

นางสำเนียง กล่าวเพิ่มเติมว่า ยายนางเป็นคนไทยคนหนึ่งอยากให้มีบัตรประชาชน เพื่อจะใช้สวัสดิการรักษาในโรงพยาบาล และได้เบี้ยผู้สูงอายุ ตนรู้สึกสงสาร จึงได้ช่วยเหลือ อยากฝากถึงปลัดอำเภอ และนายอำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ขอให้ช่วยยายนาง หรือ น.ส.บุญยัง บุญเรือง ให้ได้บัตรประชาชน จะได้ไปหาหมอมียารักษาโรค และเบี้ยยังชีพ ได้เดินทางไปยื่นเอกสารทำบัตร 3 รอบ แทบจะไม่มีเงินเหลือ เพราะเป็นคนหาเช้ากินค่ำ จนเกิดอุบัติเหตุ ขอความกรุณาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันให้ได้ใช้สวัสดิการเพราะแก่ชราแล้ว

ส่วน น.ส.บุญยัง หรือยายนาง เล่าว่า ตนเกิดและเรียนหนังสือที่บ้านนาโพธิ์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด มีแม่ชื่อแก้ว พ่อชื่อบุญสี ตนมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ตนเป็นพี่คนโต พอเรียนจบชั้น ป.4 พ่อแม่พาย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านสะอาดนาดี อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ครอบครัวยากจน พออายุได้ 13 ปี ตนได้เดินกับชาวบ้านไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ โดยได้ค่าแรงวันละ 12 บาท ตนจะย้ายงานไปเรื่อยๆ โดยอาศัยอยู่ในแคมป์คนงานพออายุได้ 18 ปี ตนได้เดินทางกลับมาทำบัตรประชาชนที่ อ.เสลภูมิ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคนถ่ายรูปไม่อยู่ วันต่อมาเจ้าหน้าที่แจ้งตนว่ากล้องเสีย ตนจึงเดินทางกลับไปทำงานและไม่กลับมาทำบัตรประชาชนอีกเลย

ยายนาง เล่าต่อว่า ตนเดินทางไปทำงานก่อสร้างไปเรื่อยๆ ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออกเกาะสมุย อาศัยอยู่แคมป์คนงาน กระทั่งตนอายุ 55 ปี ขณะขึ้นนั่งร้านฉาบปูนตนรู้สึกหน้ามืดวูบตกนั่งร้านจนได้รับบาดเจ็บ ผู้รับเหมานำส่งโรงพยาบาลพบว่าตนเป็นโรคความดัน ไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะ แต่ก็ไม่มีบัตรประชาชนมาแสดง ทำให้เสียสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค เจ้าหน้าที่รพ. ให้ตนกลับไปทำบัตรประชาชน พอป่วยไปทำงานไม่ได้ ก็ไม่มีเงินมาใช้จ่ายสามีที่อยู่ด้วยกันก็หนีไป ทำให้ตนต้องมาขออาศัยอยู่ที่กระท่อมเพิงพักกับคนใจดีในอ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งมาพบกับนางสำเนียง ซึ่งช่วยเป็นธุระพากลับไปหาญาติและทำบัตรประชาชน

ยายนาง เล่าต่ออีกว่า แต่กลับพบว่าพ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว ตนและน้องรวม 7 คน ถูกย้ายชื่อไปอยู่ในทะเบียนกลาง น้องเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ทำให้เหลือพี่น้องรวมกับตน 5 คน แต่พบชื่อของตนมีคำนำหน้าเป็น “นายบุญยัง บุญเรือง” มีเลขบัตรประชาชนเหมือนพี่น้องแต่จะไม่เหมือนแค่เลขสามตัวท้ายเท่านั้น เมื่อไปยื่นเรื่องขอทำบัตรประชาชนเจ้าหน้าที่ให้ตนไปหาใบสุทธิจบ ป.4 ที่โรงเรียนบ้านนาโพธิ์ ปรากฏว่าใบสุทธิเปื่อยยุ่ยเสียหายหมดแล้ว โดยมีผู้ใหญ่บ้านนาโพธิ์ทำหนังสือถึงปลัดอำเภอขอให้ตรวจสอบตน เพื่อทำบัตรประชาชนและญาติพี่น้องพร้อมให้ปากคำ หรือตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์การเป็นพี่น้อง และเป็นคนไทยเพื่อจะได้ทำบัตรประชาชน ซึ่งได้รับคำตอบจากปลัดอำเภอเสลภูมิว่ารอตรวจสอบ

“ช่วยเหลือฉันหน่อย ให้ฉันมีบัตรประชาชนเวลาเจ็บป่วยพอได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาล ฉันเป็นคนไทย พ่อแม่เป็นคนไทยเกิดและเติบโตในประเทศไทย ช่วยเหลือหน่อยเถอะ ไปขอทำบัตรประชาชนไม่เคยได้ซักทีอยากกลับบ้าน ไปตายอยู่ที่บ้าน” ยายนาง กล่าวอ้อนวอนทั้งน้ำตา.