นักแสดงและศิลปินหนุ่มดาวรุ่ง “นุนิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์” ได้ออกมาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเส้นทางในวงการบันเทิงที่ไม่ได้ราบเรียบ กว่าจะมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ เคยโดนปฎิเสธและถูกล้มเลิกโปรเจกต์มาแล้ว เป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง รับยังห่วงใย “ซี พฤกษ์” เสมอแต่ต้องแยกย้ายกันทำโปรเจกต์ของตัวเอง ยังบอกรักและเป็นคนสนิทเหมือนเดิม

นุนิว เผยว่า “ปีนี้ผมอายุ 22 ปีครับ จริงๆผมทำงานมาประมาณปีกว่าๆครับ เพิ่งเข้าวงการบันเทิงมาไม่นาน อาจจะยังปรับตัวอะไรไม่ได้ 100% ยิ่งช่วงแรกๆปรับตัวไม่ได้เลยครับ เราได้มาพบกับอีกสังคมหนึ่ง ซึ่งมีทั้งความเครียด ความกดดัน แต่ในนั้นก็มีความสุขอยู่ด้วยครับ เพราะสิ่งที่ผมทำมันก็คือสิ่งที่ผมชอบเหมือนกัน ช่วงแรกอาจจะยังไม่รู้ว่าเราชอบขนาดนั้นด้านการแสดง แต่เรื่องร้องเพลงเราชอบมานานแล้ว หรือว่าการถ่ายแบบเราก็ผ่านมาเรื่อยๆ ช่วงแรกประสบการณ์เราน้อยมากก็ทำได้ไม่ดีเลย เราก็พยายามพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนนี้ผมก็มีหลายสิ่งมากๆ ที่ต้องขัดเกลาเหมือนกันครับ ตอนนี้ผมกล้าพูดมากขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่าผมเส้นทางราบรื่น แต่จริงๆแล้วเราเดินทางไปหลายที่มากครับ ช่วงแรกๆที่ยังไม่มีใครรู้จัก ไปแคชงานแต่ไม่มีใครสนใจ พอมีคนสนใจได้ทำโปรเจกต์ภาพยนตร์ แต่อยู่ดีๆมันก็โดนพับไปครับ ตอนนั้นก็เลยรู้สึกเฟลมากๆเลย ผมเฟลนานพอสมควรครับ ก็พยายามบอกตัวเองเสมอว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เราที่จะเจอกับอะไรแบบนี้ ผิดหวัง หรือว่าความเฟล มีคนอีกมากมายที่เขาก็เจอเหมือนเรา แล้วทำไมแค่นี้เราผ่านมันไปไม่ได้ พยายามคิดบวกไว้ครับไม่ค่อยคิดลบเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าคิดลบแล้วไม่มีอะไรดีกับตัวเองเลยมันจะเครียดเปล่าๆ”

“เรื่องเข้าวงการเพราะครอบครัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่เคยคิดอยากเข้ามาในวงการเลย ด้วยความที่คุณพ่ออยากให้ผมเข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อก็มีพูดเล่นๆว่าอยากให้ทำงานในวงการ เราก็รู้ว่าการพูดเล่นๆของคุณพ่อในตอนนั้นก็แอบหวังอยู่เหมือนกัน แล้วพอเรามีโอกาสตรงนั้นเข้ามา ปุ๊บ! ก็เลยคิดหรือว่าเราจะลองทำดีนะ น่าสนุกดี ถ้าเข้าไปแล้วเราโอเคก็ไปต่อ แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดไว้ก็ออกแล้วกัน นั่นคือความคิดแรกๆที่จะเข้าวงการแล้วก็ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ตอบตกลงครับ พอเข้ามาช่วงแรกๆก็ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น ไม่มีพื้นฐานอะะไรเลยและไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองร้องเพลงได้ ร้องเพลงแล้วจะมีคนชื่นชอบ ผมเป็นเด็กไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลย ร้องไปแล้วจะเพราะหรือเปล่า คนจะรำคาญไหม แต่ว่าถ้าเป็นช่วงแรกๆจะคิดค่อนข้างเยอะว่าเพลงออกไปแล้วจะเป็นยังไง คนฟังเขาจะว่าหรือเปล่า แต่ว่าพอเรามีเพลงเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีแฟนๆเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็พยายามเปลี่ยนความคิดตัวเองครับว่า เราก็แค่เป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบร้องเพลง อยากจะร้องในแบบที่เราอยากร้องให้คนอื่นฟัง พยายามไม่คิดว่ามันจะต้องเพอร์เฟคตลอด แค่ร้องออกมาตามความชอบ ความสุขของเรา”

นุนิว เล่าต่อว่า “ผมเองมีพี่น้อง 2 คน มีพี่ชาย ผมเป็นน้องชายครับ ก็รักกันมากๆเลย ตั้งแต่เด็กๆแล้วครับเราคุยกันทุกเรื่องเลย ตอนนี้ต่างคนก็ต่างโตขึ้นแต่ก็ยังสนิทกันยังคุยกันทุกเรื่องได้เหมือนเดิมเลยทั้งสุขทุกข์เศร้าความรักทุกอย่างเลย รักแรกของผมเด็กมากๆเลยครับ ชอบเพื่อนร่วมชั้นครับ ตอนนั้นอนุบาลเองครับ เราแค่ปลื้มเฉยๆ มันเป็นความรู้สึกที่แฮปปี้เวลาเราอยู่กับเขา เพื่อนๆ ก็มีชอบแซวเหมือนกันครับ กลับมาเจอกันอีกผมก็บอกเหมือนกันครับ เขารู้ตั้งแต่ตอนช่วงประถมตอนนั้นแล้ว ก็แอบหวังว่าเขาจะรู้สึกเหมือนเรา เพราะตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกเหมือนเราหรือเปล่า ตอนนั้นยังไม่กล้าครับ ก็ด้วยความที่เราแยกกันไปตอน ม.ต้น เราเลยจะติดภาพตอนประถมอยู่ว่าโอเคเขาเป็นแบบนี้ แล้วมาเจอตอน ม.ปลาย ก็ยังรู้สึกดีอยู่ครับ เขาเองก็บอกชอบเรา ก็บอกครับ (หัวเราะ) เป็นความรู้สึกดีในช่วงชีวิตครับ ส่วนตอนนี้ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ”

“ส่วนการจิ้นซีนุนิว ผมก็ห่วงอยู่นะครับ ห่วงมากๆด้วย แต่ว่าอาจจะไม่ได้บอกกันเยอะถึงขนาดนั้นครับ เพราะว่าเขินครับ (หัวเราะ) ถ้าจะให้บอกตรงๆว่าเป็นห่วงมากๆเลย จริงๆก็คุยกันตลอดเลย คุยกันเยอะ เพราะว่าอย่างช่วงก่อนหน้านี้เราทำงานด้วยกันมาตลอดเป็นปี แต่ว่าช่วงนี้เฮียถ่ายซีรีส์เยอะพอสมควรครับ เลยทำให้เราอาจจะแยกย้ายกันไปทำงานบ้าง แยกกันไปเติบโตเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่สุดท้ายแล้วยังไงเราก็ยังอยู่บ้านเดียวกัน ค่ายเดียวกัน และก็ยังเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีต่อกันมากๆ ผมยังนึกถึงเฮียตลอดเวลาที่เราไปทำงานคนเดียว คำว่ารักนะ ใช้ครับ นานๆ ทีครับ (หัวเราะ) จะมีบอกรักบ้างแต่ว่าไม่บ่อยเลยครับ จะพิมพ์แต่ละครั้ง คือแบบพิมพ์แล้วแหล่ะว่า รักเฮียนะ แต่กว่าจะกดส่งได้ต้องรออยู่นานเหมือนกัน มันมีความเขิน ไม่กล้าส่ง จะบอกรักมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย”