เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยกรณี พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ หรือผู้กำกับเบิ้ม ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง อาจจะเป็น 1 ในตำรวจที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 157 ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ เพราะภาพในกล้องวงจรปิดที่โรงพยาบาลสามารถบันทึกภาพในวันเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ว่า ในเรื่องนี้ตำรวจสอบสวนกลางจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งตำรวจและคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยจะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมายืนยัน โดยจะต้องมาไล่เลียงใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หลังเสียงปืนดังขึ้น มีใครที่วิ่งหนี หรืออยู่ต่อแล้วทำอะไรบ้าง ส่วนใครจะเกี่ยวกับข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ฯ ก็จะมาตรวจสอบกันทีละนาย

วันเกิดเหตุได้ไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ และคุยกับคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายคน รวมทั้งพบเจอ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล.  ซึ่งที่บริเวณแขน และเสื้อมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ รวมทั้งได้ช่วยเหลือ พ.ต.ต.ศิวกร ร่วมกับลูกน้องอีก 3 คน ออกจากพื้นที่ โดยอุ้มอยู่บริเวณข้อเท้า ก่อนไปสั่งการต่อ รวมทั้งนำ พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.กก.2 บก.ทล. ตำรวจที่บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล จึงอยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.วชิรา ที่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำไปแล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยอีกว่า โดย พ.ต.อ.วชิรา นั่งมาในรถกระบะ พร้อมกับ พ.ต.ต.ณรงค์ พิทักษ์ฉนวน ด.ต.สราวุฒิ เชียงทอง ออกมาช่วยยก พ.ต.ท.วศิน ขึ้นเปลเข้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งหลักฐานส่วนนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่าพ.ต.อ.วชิรา ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงคดีที่ตำรวจทางหลวงได้ตรวจสอบเรื่องการทุจริตรับส่วยสติกเกอร์ก่อนหน้านี้พบมีตำรวจทางหลวงเกี่ยวข้องกระทำความผิดต่อหน้าที่ 29 นาย ส่งสำนวนให้สำนักงานป.ป.ช.พิจารณาไปแล้ว 6 นาย และล่าสุดได้ตรวจสอบพบและสั่งย้ายตำรวจเพิ่มไปแล้วอีก 4 นาย

ส่วนเหตุการณ์นี้กองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้ส่งพ.ต.ต.ศิวกร ไปแก้ไขปัญหานี้หลังจากย้ายตำรวจชุดเก่าในพื้นที่ออกมาแล้ว และเชื่อว่า พ.ต.ต.ศิวกร ไม่ยอมที่จะให้มีการรับส่วยสติกเกอร์อีก จึงอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้อดีตกำนันนก ไม่พอใจ เพราะทำธุรกิจรถบรรทุกอยู่แล้ว แม้ว่ารถบรรทุกในบริษัทของอดีตกำนันนกจะไม่มีรูปแบบสติกเกอร์ที่ติดไว้บนรถอย่างชัดเจน แต่ก็พบว่าได้ติดชื่อบริษัทเอาไว้ที่หน้ารถ ทำให้เชื่อได้ว่าอาจเป็นจุดสังเกตที่ทำให้ตำรวจทางหลวงรู้กันว่าเป็นรถของบุคคลใด

ขณะที่การปราบปรามส่วยสติกเกอร์ ยังคงเดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจัง และที่ผ่านมาหลังจากเกิดเรื่องร้องเรียนทางตำรวจทางหลวงก็พยายามทำให้ปัญหานี้ลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนพยายามทำให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งตำรวจที่ได้ส่งไปแก้ไขปัญหาก็พยายามกดเรื่องเหล่านี้ให้หายไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของตำรวจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่าคดีนี้ยังตรวจสอบอีกนานเพราะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง.