เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ต.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรก นัดประชุมคดีตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น และอีกหลายฐานความผิด, พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของแอม จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ ทนายความของนางแอม จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันทำลายหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี

นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความได้เดินทางมาศาลพร้อมกับแม่ของ น.ส.ก้อย, นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอม ไซยาไนด์ โดยกล่าวว่า วันนี้ไม่มีความกังวลในการนัดตรวจพยานหลักฐาน เพราะได้ศึกษาสำนวนและคำฟ้องของพนักงานอัยการมาโดยละเอียด โดยในวันนี้จะยื่นคำร้องขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนประมาณ 31,000,000 บาท ให้กับแม่ของ น.ส.ก้อย เช่น ค่าปลงศพ และจะตั้งทนายเพื่อยื่นคำร้องเรียกค่าไร้อุปการะให้กับลูกวัย 10 ขวบ ของผู้ตายอีกคดีหนึ่งด้วย

สำหรับคดีนี้ นางแอม จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าชิงทรัพย์โดยการวางยาหรือใช้สารพิษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการได้ระบุพฤติการณ์ความผิดของจำเลยทั้งสามคนไว้ชัดเจน โดยจำเลยที่ 2 คือ พ.ต.ท.วิฑูรย์ เป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินในคดี จะไปขอคำปรึกษาจากจำเลยที่สามคือทนายพัช จึงได้พูดยุยงให้มีการทำลายพยานหลักฐาน เพื่อให้นางแอมหลุดจากคดี โดยกล่าวว่า “ถ้าจะสู้ให้สุดก็ต้องไม่ปรากฏของกลางและมีคดีที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีของกลาง ส่วนคดีนี้ก็ควรทำให้ไม่มีของกลาง”

อย่างไรก็ตาม ไม่มีความกังวลในวันนี้เนื่องจากพยานหลักฐานมีความชัดเจนทั้งนิติวิทยาศาสตร์ ผลการชันสูตรพลิกศพ และวัตถุพยาน ถือว่ามีความแน่นหนา แต่เป็นห่วงแทนฝั่งจำเลยมากกว่าที่พยานหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ แต่จะยังคงยืนกรานต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม หากการเปิดพยานหลักฐานวันนี้มีชัดเจน จำเลยอาจให้การรับสารภาพได้ และศาลอาจลดโทษจากประหารชีวิตคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากจำเลยยังไม่ให้การรับสารภาพ และต่อสู้ในชั้นศาลอาจจะใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 ปี เนื่องจากมีพยานหลักฐานในคดีจำนวนมาก

ด้านนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอมไซยาไนด์ กล่าวว่า ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะผู้เสียหายได้รับความเสียหายมามากแล้ว แต่ฝากไปถึงทนายของคู่กรณีอยากให้ระมัดระวังการใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงใจญาติของผู้เสียหายและอยากให้สงบปากสงบคำมากกว่านี้ และคำนึงถึงมารยาทของทนายความด้วย ส่วนผลทางคดีนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาให้ความเป็นธรรมของศาล แต่เบื้องต้นผู้กระทำผิดก็ได้รับผลกรรมแล้ว

ด้าน น.ส.ทองพิน อายุ 63 ปี แม่เค้านางสาวก้อย เหยื่อในคดีนี้ บอกว่าไม่มีความหนักใจในคดีนี้ ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อยากให้ทางจำเลยพูดความจริง ทุกอย่างจะได้จบลง แต่ช่วงเช้าวันนี้ก็ได้จุดธูปเชิญนางสาวก้อยขึ้นรถมาด้วย

ต่อมาเวลา 10.00 น. ทางด้าน น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ หรือ ทนายพัชร ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะขึ้นไปตรวจพยานหลักฐาน ว่า วันนี้ตนมาในฐานะจำเลยและทนายความร่วม ซึ่งก็มีความมั่นใจในพยานหลักฐานไม่แพ้ฝั่งโจทก์ โดยหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำมาต่อสู้คือ ใบบันทึกประจำวัน เรื่องที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สั่งซื้อไซยาไนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ ไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ก่อนจะมีการเข้าตรวจค้น เพื่อให้มีหลักฐานทางคดี

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า ศาลจะต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลย เพราะฝั่งโจทก์มีพยานแวดล้อม และประจักษ์พยานมีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้ นอกจากนี้ ตนทราบว่า หนึ่งในผู้เสียหายรายหนึ่งที่อยู่ จ.นครปฐม ได้มีการถอนฟ้องไปแล้ว ซึ่งตนก็ขอความแสดงยินดีด้วย ในส่วนประเด็นที่ฝั่งโจทก์ มีความมั่นใจในเรื่องของพยานหลักฐานนั้น ตนมองว่าอยากให้แม่ของก้อยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมให้ได้ก่อน หากเข้ามาไม่ได้ก็จะไม่สามารถทำอะไรตนได้ รวมไปทั้ง เรื่องที่จะเรียกค่าเสียหายด้วย

โดยวันนี้พนักงานอัยการโจทก์ น.ส.ทองพิณ เกียรติชนะสิริ มารดาผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1-3 พร้อมทนายความมาศาล

ซึ่ง น.ส.ทองพิณ ผู้ร้องได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ตามคำร้องตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 66 สอบโจทก์แล้วไม่คัดค้าน ส่วนทนายความจำเลยที่ 2 และ 3 คัดค้านการขอเป็นโจทก์ร่วมของ น.ส.ทองพิณ โดยแถลงเพิ่มเติมว่า ผู้ร้องไม่ใช่มารดาของผู้ตายในคดีนี้ พร้อมยื่นเอกสารประกอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ได้ตรวจพยานหลักฐานที่คู่ความเสนอ โดยเฉพาะทนายความของผู้ร้องแถลงว่า น.ส.ทองพิณ มารดาผู้ตายได้เปลี่ยนชื่อ นามสกุล มาหลายครั้ง แต่ยืนยันว่าเป็นมารดาของผู้ตายจริง ทั้งนี้ศาลได้ดูเอกสารที่จำเลยที่ 3 และทนายความจำเลยที่ 3 อ้างส่งประกอบเอกสารที่ผู้ร้องส่งโดยเฉพาะบัตรประจำตัวประชาชน มีหมายเลขประจำตัวประชาชนถูกต้องตรงกัน น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกัน อีกทั้งโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ น.ส.ทองพิณ เข้าเป็นโจทก์ร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ส่วนความผิดฐานอื่นเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่อนุญาต

ทนายความจำเลยทั้งสามแถลงว่า เนื่องจากเอกสารที่ต้องตรวจเป็นจำนวนมากและเพิ่งเห็นในวันนี้ จึงขออนุญาตเลื่อนการพิจารณาไปนัดหน้า ศาลสอบโจทก์และทนายความโจทก์ร่วมแล้วไม่คัดค้าน ส่วนประเด็นที่ น.ส.ทองพิณ ทนายความโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/2 นั้น ให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การในส่วนแพ่งต่อศาลภายใน 15 วัน

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เปิดโอกาสให้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้อย่างเต็มที่ อนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี ตรวจพยานหลักฐาน สอบคำให้การจำเลยทั้งสาม กำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 20 พ.ย. 66 เวลา 09.00 น.