จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ภายหลังคนร้ายกราดยิงกลางห้างสยามพารากอน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ขณะที่ตำรวจเร่งเข้าคุมพื้นที่ ก่อนจับคนร้ายได้ ซึ่งมือปืนเป็นเพียงเยาวชนชายอายุเพียง 14 ปี นามสกุลดังในสังคมและเป็นเด็กนักเรียนเรียนดี ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. โลกออนไลน์ต่างพูดถึง นพ.เจษฎา ทองเถาว์ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ จิตแพทย์ประจำ รพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี หลังจากที่เคยพูดถึงกรณีเหตุการณ์กราดยิงโคราช เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “10 ประเด็นที่น่ากลัวและน่าสนใจของการนำเสนอข่าวเหตุการณ์กราดยิง” [งานวิจัยทางจิตวิทยาและบทเรียนที่มีค่าจาก USA]”

1.ผลการศึกษาสำคัญ (ที่น่าตกใจ) พบว่า ยิ่งสื่อนำเสนอรายละเอียดของเหตุการณ์, ภาพใบหน้า+ชื่อของฆาตกร รวมทั้งวิธีที่ฆาตกรใช้ ยิ่งละเอียดมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เกิดเหตุการณ์กราดยิงตามมาได้มากขึ้นเท่านั้น ผ่านกลไกของพฤติกรรมการเลียนแบบ (“copycat” หรือ “contagion effect”)

2.หากเกิดข่าวใหญ่เรื่องการกราดยิง จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุกราดยิงตามมา และมันก็มักจะเกาะกลุ่มกันหรือเกิดใกล้ๆ กันเสมอ งานวิจัยปี 2015 พบว่า หากมีเหตุกราดยิง แล้วมีทวิตเตอร์คำว่า “กราดยิง” มากกว่า 10 ทวีตต่อล้านทวีต ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สองภายใน 7 วันจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 50%

3.พฤติกรรมเลียนแบบ (imitation) เกิดขึ้นได้ เพราะคนร้าย (ที่อาจจะมีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง หรืออาจมีความแปรปรวนทางด้านจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) รู้สึกว่าคนร้ายคนก่อนหน้าในข่าวดัง มีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับตน โดยเฉพาะปัจจัยทางเพศและอายุ

4.งานวิจัยพบว่า ลักษณะการลงข่าวที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ ได้แก่…
– การลงรายละเอียดเหตุการณ์หรือพฤติการของความรุนแรงอย่างละเอียด
– การลงรูปใบหน้า (+/-ชื่อ) ของฆาตกร
– การเจาะลึกประวัติชีวิตฆาตกร

5.ผู้เชี่ยวชาญทางอาชญากรรม พบว่า ก่อนที่คนร้ายเหตุกราดยิงคนหนึ่งจะก่อเหตุ เขามักจะได้เห็นสื่อต่างๆที่เกี่ยวกับการกราดยิงมาก่อน ข่าวเหล่านั้นสามารถทำให้เขารู้สึกถึง “ความเชื่อมโยง” บางอย่างทีคล้ายกับตน เกิดความรู้สึกว่ามีคนที่คิดเช่นเดียวกันกับเขา และทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำมันให้สำเร็จ (เพราะเห็นคนต้นแบบและวิธีการอย่างละเอียดแล้วจากสื่อ)

6.จากผลการศึกษาพบว่า ฆาตกรกราดยิงมักมีความอ่อนไหวและเปราะบางทางอารมณ์จิตใจ มีความรู้สึกว้าเหว่ และมองหาความสัมพันธ์แบบ Parasocial (คือ ความเชื่อมโยงกับคนอื่นๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากการเข้าไปอ่านหรือเสพสื่อที่ให้รายละเอียดของฆาตกรคนก่อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ มีฆาตกรที่มหาวิทยาลัยอิลลินอย ได้ลักพาตัวและฆ่านักศึกษาสาวชาวจีน ตำรวจพบหลักฐานว่าก่อนเกิดเหตุ ฆาตกรได้แชตคุยกับกลุ่มของฆาตกรที่เคยก่อเหตุในเน็ตทั้งก่อนและหลังกระทำ

7.เมื่อสื่อนำเสนอเรื่องราวของฆาตกร ทั้งชื่อ ใบหน้า ปมปัญหา รายละเอียดการฆ่า ฯลฯ กระบวนการนี้จะทำให้คนร้ายรายนั้นเริ่มเป็นที่รู้จัก อิทธิพลของการนำเสนอนี้สามารถส่งผลให้คนอีกหลายคนที่มีต้นทุนของจิตใจที่แปรปรวน อำมหิต หรือมีจิตใจที่โหดร้ายอยู่เป็นทุนเดิมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับตน ทำให้รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เหมือนตนเอง

8.ยิ่งฆาตกรได้พื้นที่สื่อ ได้ออกข่าวดัง ได้ออกแถลงข่าว ได้มีภาพการทำแผน ฯลฯ ยิ่งมากเท่าไหร่ ในทางจิตวิทยาแล้วคนร้ายเหล่านี้ก็จะยิ่งรู้สึกว่า “ฉันได้รางวัล” จากความรุนแรงที่ได้ลงแรงทำไป

9.แล้วสื่อควรจะนำเสนอข่าวอย่างไร เพื่อจะลดโอกาสในการเกิดเหตุกราดยิงในอนาคต?
งานวิจัยหลายฉบับได้สรุปถึงแนวทางที่สื่อจะสามารถช่วยลดพฤติกรรมการเลียนแบบของคนร้ายกราดยิงได้ โดยการปฏิบัติตามแนวทางการนำเสนอข่าวขององค์การอนามัยโลก ดังนี้…
ข้อ 1 ไม่ควรลงข่าวถี่หรือนานจนเกินไป ไม่ลงหัวข่าวตัวโตเตะตา หรือไม่ใส่สีสันให้ตื่นเต้น หรือดึงดราม่าจนเกินเหตุ ควรเขียนข่าวสั้นๆ กระชับ ให้เฉพาะรายละเอียดที่จำเป็นเพื่ออธิบายเหตุการณ์ ลดระยะเวลาการรายงานข่าวโดยรวมของเหตุการณ์นี้ลง โปรดอย่าลืมว่า ยิ่งสื่อให้พื้นที่ข่าวกับฆาตกรมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการให้รางวัลกับการกระทำของมันมากเท่านั้น

ข้อ 2 ไม่ควรอธิบาย พรรณนา รายละเอียดของพฤติกรรมการฆ่าจนถึงขั้นละเอียดยิบ (จนสามารถนำไปปฏิบัติหรือต่อยอดพฤติกรรมได้) พึงระมัดระวังดาบสองคมที่อาจเกิดจากการทำแอนิเมชั่นจำลองเหตุการณ์ให้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก **พึงระลึกไว้ว่า ยิ่งอธิบายมากก็ยิ่งเลียนแบบได้มาก ยิ่งอธิบายไว้น้อย ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเลียนแบบได้น้อยเช่นกัน
ข้อ 3 ไม่ลงรูปถ่าย ภาพประกอบ หรือคลิปมากเกินควร **ในอเมริกา กำลังมีไอเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงการไม่ลงชื่อของคนร้ายในสื่อ หรือถ้าจำเป็นก็ควรลงให้น้อยที่สุด

ข้อ 4 ไม่ขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตของฆาตกรมาประโคมเผยแพร่ ไม่เผยแพร่ประโยคคำพูด การแถลง คลิปสารภาพผิด ทั้งจากไฟล์เสียง วิดีโอ หรือแม้แต่แคปเจอคำพูดจากเฟชส่วนตัวของฆาตกร ฯลฯ **กลยุทธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำต่อสื่อก็คือ เมื่อต้องนำเสนอเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือรายละเอียดใดๆของฆาตกร (เช่น การเตรียมการ การวางแผนการยิง) ให้สื่อพยายามเชื่อมโยงถึงความน่าอับอาย ความน่ารังเกียจ หรือความขี้ขลาดตาขาวของฆาตกรเสมอ **การศึกษาในสหรัฐพบว่า อัตราการกราดยิงมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสื่อหันมานำเสนอข่าวด้วยกลยุทธ์นี้

ข้อ 5 ไม่ขุดคุ้ยหรือพรรณนาแรงจูงใจ ต้นสายปลายเหตุ หรือที่มาของการฆ่าแบบละเอียดจนเกินไป เพราะในทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์ทุกคนจะมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบคนที่เรารุ้สึกว่าเขามี”อะไร”ที่คล้ายกันกับเราเสมอ เมื่อนำเสนอถี่เข้าถี่เข้า จากที่ไม่ทันสังเกตเห็นก็กลับเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนอซ้ำๆว่าฆาตกรทำลงไปเพื่อแก้แค้น จากการที่เขาเคยถูกรังแกมาหลายปี ข้อมูลเช่นนี้เมื่อนำเสนอซ้ำๆ จะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงได้ว่า “การกราดยิงก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ฉันทำได้ เมื่อไหร่ที่ใครสักคนเจอกับปัญหาในชีวิต”

ข้อ 6 ควรลดการ Live สดหลังเกิดเหตุการณ์ลง จริงอยู่ที่มีคนมากมายที่ต้องการจะเสพหรือติดตามข่าวนี้ เพราะเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มีผู้สูญเสียเป็นจำนวนมาก (และแน่นอนว่ามันขายได้) แต่อย่าลืมว่า การ Live สดสามารถเพิ่มระดับโดยรวมของ “ความตื่นเต้น” ต่อเหตุการณ์ ที่จะทำให้ความสนใจโดยรวมของสังคมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ฆาตกรและคนที่จะเป็นฆาตกรคนต่อไปรับรู้ได้ถึง “ความหอมหวาน” และ “รางวัล” ที่พวกเขาจะได้รับเมื่อลงมือฆ่า **คำแนะนำคือ ควรเลี่ยงไปใช้การนำเสนอในรูปแบบการอัปเดตที่เป็นลายลักษณ์อักษรแทน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะลดความหมอหวานของของรางวัลเท่านั้น แต่มันอาจช่วยลดความสนใจโดยรวมของสังคมในเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเลียนแบบของฆาตกรคนต่อไปได้

10.มีประโยคหนึ่งของจาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีหญิงวัย 38 ปีของนิวซีแลนด์ ที่ออกมาพูดถึงเหตุกราดยิงเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ในเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 50 ราย นับเป็นเหตุกราดยิงครั้งที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของนิวซีแลนด์ คำแถลงของเธอนั้นทำให้หมอรู้สึกประทับใจและรู้สึกชื่นชมในวิสัยทัศน์ของผู้นำคนนี้อย่างมาก

เธอได้ประกาศในสภาว่า “เธอจะไม่มีวันเอ่ยถึงชื่อของฆาตกรเด็ดขาด และประชาชนจะไม่ได้ยินชื่อของฆาตกรจากปากของเธออย่างแน่นอน เขาจะต้องได้รับโทษสูงสุดตามกฎหมายนิวซีแลนด์ และจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นคือการโด่งดังเป็นที่รู้จัก” นอกจากนี้ เธอยังบอกด้วยว่า “บุคคลที่สมควรได้รับการพูดถึง และควรให้เกียรติจริงๆ คือเหล่าคนที่สูญเสียจากเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจครั้งนี้มากกว่า”..

ขอบคุณข้อมูลจาก @คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา