เมื่อวันที่ 10 ต.ค. รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ เกี่ยวกับเรื่องราวที่โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลว่า “ไม่ควรให้ลูกฉีดวัคซีนในเล่มสีชมพู” โดยระบุว่า “ควรให้ลูกหลานฉีดวัคซีนตามที่แนะนำให้สมุดสีชมพูครับ”

มีคนส่งคลิปจากติ๊กต็อกมาให้ดูครับ เป็นของผู้หญิงท่านหนึ่ง อ้างตนเป็นหมอแผนปัจจุบัน ที่ไม่ได้ทำงานโรงพยาบาลแล้ว (แต่ไม่บอกชื่อ-นามสกุลจริง และเลขใบประกอบโรคศิลป์ ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่) ทำคลิปตอบคำถามทางบ้าน ที่ถามว่า “วัคซีนในเล่มสีชมพู ก็ไม่ควรให้ลูกรับเลยใช่มั้ยคะ?” โดยสตรีท่านนี้ให้ความเห็นในแบบเดียวกับที่ “พวกต่อต้านวัคซีน” ชอบพูดและเผยแพร่ความเชื่อกันว่าวัคซีนทั้งหลายนั้น เป็นแผนการของบริษัทต่างชาติในเครือข่ายของกลุ่มอำนาจลัทธิไซออน ตามแผนการที่จะกำจัดคนในโลกในปี ค.ศ. 2030 มีเครือข่ายหมอนานาชาติออกมาต่อต้านอยู่ ฯลฯ

ก็เห็นได้ชัดว่า พวกนี้ก็คือกลุ่มต่อต้านวัคซีนที่ออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ตั้งแต่สมัยโรคโควิด-19 ระบาด และปลุกปั่นให้คนหวาดกลัวไม่กล้าไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค รวมไปถึงให้ไปกินน้ำคลอรีน (CDS ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) เพื่อล้างวัคซีนออกมาจากตัวด้วย ตอนนี้ก็ขยายไปถึงวัคซีนโรคอื่นๆ แล้ว รวมถึงวัคซีนพื้นฐานที่ต้องฉีดให้กับเด็กๆ ด้วย!

ซึ่งไม่จริงนะครับ! เป็นการสร้างความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ลูกหลานฉีดวัคซีนในสมุดเล่มชมพู เพราะวัคซีนที่ระบุในเล่มชมพูทั้งหมดเป็น “วัคซีนพื้นฐาน” ที่เด็กจำเป็นต้องได้รับ ตัวอย่างเช่น วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน วัคซีนโปลิโอ วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม เป็นต้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโรคดังกล่าว และลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กได้ เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับโรคได้ด้วยตนเอง

วัคซีนเหล่านี้ นอกจากจะช่วยป้องกันความรุนแรงของโรคต่างๆ ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว ยังช่วยลดการระบาดของโรคในระดับประเทศได้ด้วย เพราะจะทำให้ลดโอกาสในการเป็นโรคลง และลดโอกาสในการแพร่กระจายโรคไปสู่คนอื่นๆ ข้อมูลในสมุดสีชมพูเกี่ยวกับวัคซีนนั้น ก็มีการปรับปรุงให้ทันการระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กไม่ติด “โรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน”

ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกรณีของ “วัคซีนป้องกันโรคหัด” ที่เคยรณรงค์ฉีดกันทั่วประเทศ ทั่วโลก และน่าจะทำให้มนุษยชาติสามารถกวาดล้างโรคหัดออกไปได้จนหมดสิ้น แต่พอมีพวกต่อต้านวัคซีนมาทำให้พ่อแม่บางส่วนหวาดกลัวและไม่พาลูกๆ ไปฉีดก็เลยทำให้โรคหัดกลับมาระบาดอีกครั้ง และทำให้เด็กตายไปปีละเป็นแสนคน ทั้งๆ ที่เป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ส่วน “สมุดสีชมพู” หรือชื่อเป็นทางการว่า “สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก” ซึ่งจัดทำโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นั้น จริงๆ แล้วเป็นมากกว่าสมุดฉีดวัคซีน เพราะมีเนื้อหาสาระสำคัญสำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการดูแลสุขภาพเด็ก เริ่มตั้งแต่หญิงตั้งครรภ์ ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ที่สถานบริการ จะมีข้อมูลบันทึกการตรวจครรภ์ การคัดกรองความเสี่ยงสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เช่น คัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ความเสี่ยงของโรคธาลัสซีเมีย ช่วยประเมินภาวะโภชนาการ

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จะช่วยเปรียบเทียบค่าดัชนีมวลกาย การนับลูกดิ้น การประเมินสุขภาพจิต และบันทึกการเยี่ยม สำหรับหลังคลอด ก็จะมีแบบบันทึกเพื่อประเมินสุขภาพลูกน้อย ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปี มีกราฟสำหรับจดบันทึก และประเมินภาวะการเจริญเติบโตและพัฒนาการ มีคำแนะนำเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือน ปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงวัย การประเมินความเสี่ยงฟันผุ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีข้อแนะนำด้านการเสริมพัฒนาการ การป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคไข้หวัด โรคมือ เท้า ปาก โรคอุจจาระร่วง ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง ต้องรู้ในการเลี้ยงลูก

ประเทศไทยเริ่มใช้สมุดสีชมพูตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 และปรับปรุงทุก 3 ปี ซึ่งกรมอนามัยได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มอบสมุดสีชมพูแก่หญิงตั้งครรภ์ทุกคน เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพของตนเองและลูกน้อย ให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มีพัฒนาการสมวัย สร้างศักยภาพประชาชนทุกช่วงวัยให้มีสุขภาพดี … ปัจจุบัน ได้พัฒนาให้เป็น “สมุดสุขภาพแบบดิจิทัล” เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

สรุปก็คือ สมุดสีชมพูนั้น มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการระบุชนิดวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเด็ก จึงไม่ควรไปหลงเชื่อคำพูดของพวกต่อต้านวัคซีน ที่ชักนำให้ไม่ต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนในเล่มชมพู ซึ่งการทำเช่นนั้น จะเป็นเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพเด็ก โดยไม่ตั้งใจครับ

(เพิ่มเติม) ป.ล. สมุดสีชมพูนี่ ได้มาแล้วก็ควรเก็บไว้ให้ดีนะครับ เผื่อต้องเอาไปใช้ในอนาคต เช่น ตอนไปขอทำวีซ่าไปเรียนต่อในบางประเทศ จะมีการขอดูประวัติการรับวัคซีนด้วย ซึ่งก็เช็กจากสมุดสีชมพูได้ครับ ถ้าสมุดหาย ก็จะขาดหลักฐานการฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กๆ นะครับ (ระบบการเก็บข้อมูลของสาธารณสุข ถ้าเกิน 8 ปี เขาก็จะทำลายทิ้ง จะออกเล่มใหม่ไม่ได้)”..

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ : อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์