เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่โรงแรม SC PARK ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงและเขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเดินทางถึงโรงแรมของ 90 แรงงานไทย ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครอบครัวที่ต่างเข้าสวมกอดคนที่รักที่มาเฝ้ารอการกลับมาตั้งแต่เช้าตรู่ โดยในส่วนของครอบครัว น.ส.อำไพ พึ่งกลั่น อายุ 56 ปี แม่ของนายไชยะ บุญสังข์ หรือ เอก อายุ 39 ปี แรงงานไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกถั่ว ปลูกมัน โดยเดินทางไปอย่างถูกกฎหมายตั้งแต่ปี 2565 เดือนสิงหาคม มีสัญญา 5 ปี ภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัดชลบุรี โดย น.ส.อำไพ ระบุว่า วันนี้หลังรับตัวบุตรชาย จะพากันกลับไปบ้านที่ กทม. แถวเขตสวนหลวงก่อน เพราะบุตรชายมีภรรยาซึ่งเป็นไข้รออยู่ที่นั่น โดยตนได้ลำดับที่ 86 พร้อมยืนยันว่าคิดถึงลูกชายและห่วงใยอยากสวมกอดลูกมากๆ

ต่อมานายไชยะ หรือเอก ได้เดินทางมาถึงโรงแรมพร้อมแรงงานไทยที่เหลือ โดยเมื่อนายไชยะพบเจอครอบครัว ลูกชายของนายไชยะและมารดาของนายไชยะต่างโผเข้าสวมกอดและร่ำไห้ จากนั้นนายไชยะ ได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ว่า ตอนเกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้พยายามเข้ามาในโรงงาน แต่พวกตนได้ช่วยกันหาของไปกั้นขวางประตู ทำให้กลุ่มฮามาสเข้ามาไม่ได้ และตนพร้อมแรงงานไทยที่เหลือก็ปีนขึ้นไปหลบบนหลังคา และพยายามช่วยกันติดต่อเจ้าหน้าที่ทูต ซึ่งรอความช่วยเหลืออยู่ในนั้นประมาณ 3 วัน ซึ่ง 3 วันนี้ก็โดนตัดน้ำตัดไฟลำบากมาก แต่การที่ตนและเพื่อนๆ ไปหลบอยู่บนหลังคา แม้กลุ่มติดอาวุธพยายามจะพังประตู แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาได้จึงทำให้ไม่มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกอยากกลับไทย ไม่อยากกลับไปที่ประเทศอิสราเอลอีกแล้ว ส่วนวินาทีที่ขึ้นไปหลบบนหลังคานั้น ตนคิดแค่เอาตัวรอดเพราะกลัว กลัวจะไม่ได้มีชีวิตกลับมา และครั้งนี้ถือว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง เพราะปีที่แล้วมีแค่ยิงและขว้างระเบิดกันไปมา และมีการการแจ้งเตือนล่วงหน้าแต่ครั้งนี้ไม่มี

นายไชยะ เผยอีกว่า ช่วงเกิดเหตุ ตนไม่ต้องการให้แม่รับรู้จึงไม่ได้ติดต่อไป กลัวทางบ้านเป็นห่วง แต่หลังจากนั้นก็ได้เล่าให้ครอบครัวฟังและติดต่อภรรยากับลูกตลอด ตนคิดถึงครอบครัวมากๆ อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือของภาครัฐถือว่ารวดเร็ว เพราะกลุ่มในวันนี้ได้กลับมาเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มแรก ส่วนเพื่อนแรงงานที่เหลืออยู่ พวกเขาฝากบอกอยากกลับบ้าน แต่ตนก็เข้าใจดีว่าบางพื้นที่ที่ก็ยังเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ ทั้งนี้สาเหตุที่ตนต้องไปทำงานที่อิสราเอลก็เพราะช่วงนั้นประเทศไทยเศรษฐกิจชะงักเนื่องจากประสบปัญหาโรคโควิด-19 ตนจึงต้องไปที่อิสราเอลเพื่อหาเงินส่งกลับจุนเจือครอบครัว อย่างไรหลังจากนี้คงต้องมองหาอาชีพในประเทศไทยแทน แต่ยืนยันว่าจะไม่กลับไปที่อิสราเอลอีกแล้ว

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ลูกชายของนายไชยะสวมกอดพ่อของตัวเองตลอดเวลาและร่ำไห้สะอื้นซบพ่อตลอดเวลา พร้อมระบุว่า ยังไม่อยากพูดอะไรกับพ่อ แต่ดีใจมากๆ ที่พ่อกลับมาและมีชีวิตปลอดภัย.