จัดเป็นอีกหนึ่งครอบครัวคนบันเทิงที่แฟนๆหลงรักสุดๆ สำหรับครอบครัวของบ้านดาราสาว เอมมี่ มรกต ที่งานนี้ควงคุณสามี หนุ่ม จิรยุทธ มาเปิดใจที่แรกกับเส้นทางรัก 17 ปี และปัญหาความรักที่ทำเอาสาวเอมมี่ถึงขั้นออกปากว่าชีวิตคู่เหมือนเป็นจำเลยรัก ผ่านทางรายการคุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม

เอมมี่ เผยว่า “คู่เราแต่งงาน 8 ปี คบกัน 9 ปี ทั้งหมด 17 ปี ความรักตอนเจอพี่หนุ่มครั้งแรกงงว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไร ติดกระดุมถึงสะดือ ติดอยู่เม็ดเดียว แล้วใส่สร้อย สร้อยก็ยาวถึงสะดือ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก หน้าตาอาจจะไม่ได้หล่อ แต่นิสัยอาจจะดีมาก ก็ลองคุยดู วันนั้นคุยไปคุยมา 3 ชม. เอมมี่ก็ตั้งใจกะว่าจะหลอกเล่นๆ(หัวเราะ) ไม่หรอกมี่ชอบความคิดของเขา เขาก็เรียนเมืองนอกมา เราก็เป็นเด็กที่มาจากอังกฤษ ไม่ได้รู้จักใครมาก เพื่อนอาจจะไม่ได้เยอะมาก แล้วเหมือนเขาเก็ทในสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ตอนนั้นเราอยากทำงาน แล้วอยากเป็นอะไรสักอย่าง เขาก็เข้าใจ เหมือนจะซัพพอร์ตสิ่งที่เราเป็น ณ วันนั้น เราก็เออ คุยถูกคอ แต่วันนั้นพอมี่บอกพี่หนุ่มกำลังจะไปเดินแบบแล้วนะคะ เขาบอกไม่เป็นไรถือสายรอได้ มี่ก็เลยเอาโทรศัพท์วางไว้ในกระเป๋า เค้าก็ไม่วางสาย มี่หายไปประมาณ 40 นาที พอกลับมาเขายังอยู่ในสายก็รู้สึกดี หลังจากนั้นคุยทั้งหมด 3 วันคุยยาว 72 ชั่วโมงไม่วางสายเลย ออกเดทแรกโดนขโมยจุ๊บเลย นิสัยไม่ดีสุดๆ เราก็นั่งรอในโรงพยาบาล จำได้เลยว่านั่งรอคุณหมออยู่ นี่ก็เข้ามานั่งข้างๆ จุ๊บเลย”

“อายุห่างกัน 13 ปี ได้ยินข่าวมาว่าก่อนที่เขาจะเจอเรา เขาก็ไม่ธรรมดา เขาก็หลายอยู่ คนในวงการเขาก็รู้กัน จริงๆ แล้วตั้งใจจะหลอกเด็ก ถามว่าอายุมีปัญหาไหม มีค่ะ ประเด็นมี่มีเพื่อนเยอะ แล้วชอบเที่ยว แล้วตอนนั้นเราก็เด็ก อายุ 22 เป็นช่วงอยากเที่ยว อยากทำนู้น ทำนี่ เขาเป็นห่วงเราไปหมด  เรากลายเป็นไข่ในหินของเขา เหมือนถูกขัง เหมือนจำเลยรัก ตอนนั้นมี่รู้สึกว่ามี่เด็ก มากเกินไปก็อึดอัด มีทะเลาะ เถียงกัน ห่างกันบ้าง เพราะเรายังปรับตัว จูนกันไม่ค่อยได้ บางเหตุการณ์เราก็โอเค เขาเป็นห่วง แต่บางครั้งก็เหมือนถูกขัง ก็มีปรับกันบ้าง ซึ่งพี่หนุ่มเขาเป็นผู้หญิงในร่างผู้ชาย จุกจิก มีระเบียบ เสื้อผ้าก็ต้องเรียงสี เรียงแบบ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็น ทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่เลย คือของมี่ มี่ก็จะวางของไว้ อีก 2-3 วันอาจตะต้องใช้ ยังไม่ถึง 2 วัน หนูอันนี้อะไร ทำไมวางอยู่แบบนี้ มีอยู่ช่วงนึงขนของมี่ทิ้ง เราคบกันมา 6 ปีแล้วเลิก พอเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราก็เล่าความฝันให้เขาฟัง เขาจะพูดตลอดเวลาว่าเขาไม่อยากมีลูก มี่รู้สึกว่ามี่เกิดมาเป็นมนุษย์แม่ อยากมีลูก แล้วเขาก็ไม่เก็ท จนปีที่6 เราก็เริ่มซีเรียสขึ้น เราก็อายุ 20 ปลายๆ แล้ว ก็คุยกันเรื่องนี้ ก็หลายรอบที่คุยแต่มันก็ไม่ลงตัวสักที ครั้งสุดท้ายทะเลาะกันยิ่งใหญ่เลย”

หนุ่ม เผยว่า “จุดเริ่มต้นความรักเริ่มจากพี่ดูทีวี วันนั้นเป็นประกวดนางงามอะไรสักอย่าง จำได้ว่าพี่ดู๋ สัญญา เป็นพิธีกรคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในรายการประกวด แล้วผู้หญิงคนนี้พูดภาษาอังกฤษ แล้วพี่ดู๋พูดภาษาไทย พี่ก็ดูแบบไม่ได้ตั้งใจดูมาก ผู้หญิงคนนี้สวยดี มาบอกกับน้องในออฟฟิศว่าเมื่อคืนดูรายการ พิธีกรผู้หญิงสวย น่ารักดีนะ เขาก็บอก เอมมี่ มรกต เราก็ได้ยินแค่เอมมี่ มรกต หลังจากนั้นไม่นานสัก 2-3 อาทิตย์ พี่ทำโฆษณาใช่ไหม มันมีหนังโฆษณาเมืองนอก แชมพูติดต่อมา เขาหาคนแคส พี่บอกแคสติ้งว่าพี่ฝากเอาเอมมี่ มรกต มาแคสลึกๆ ก็คืออยากเจอ ถึงเวลามาแคสที่ออฟฟิศ พอเดินขึ้นมาพี่เปิดประตู พี่อึ้งเลย ผมพังมาก แดง ยาว พังมาก ครั้งแรกพี่ก็สงสารไม่อยากให้ลงไปเจอพวกน้องแคส ก็เลยนั่งคุยอยู่ในห้อง กลัวเขารู้สึกไม่ดี คือใจไม่ได้แน่ รู้ว่าส่งไปไม่ได้หรอก ก็สงสารเขา เรียกน้องเข้ามาถ่ายในห้อง หลังจากนั้นก็ไม่เป็นไง รู้ว่าเขาต้องไปเดินแบบ พี่จำได้ว่าพี่ไปยิม ก่อนที่จะเปลี่ยนชุด วางโทรศัพท์ในล็อกเกอร์ พี่ก็ส่งข้อความไปขอบคุณหน่อย ขอบคุณนะคะที่มา ดีใจที่ได้เจอคนที่คุยกันรู้เรื่อง ประมาณนี้จำไม่ได้ พอกลับมาก็เห็นเขาตอบกลับมา พี่โทรกลับไปเขากำลังแต่งหน้าจะเดินแบบ เขาก็ใส่หูฟังคุยต่อเป็นชั่วโมง”

ที่ปิ๊งเขาจริงๆ พี่ไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้จะคิดว่าจะมีคู่ คิดว่าสนุกกับชีวิตโสด สนุกมากกับการที่ไม่ต้องรับผิดชอบใคร ไม่ได้คิดอะไร แต่ของแบบนี้มันเป็นอะไรที่บังคับไม่ได้ พอมาเจอ มาคุย ก็อยากคุยต่อ พี่ว่ามันไม่ได้แปลว่าอยากจะหยุดหรืออยากจะคุยคนเดียว พอช่วงเวลานั้นเราคุยกับเขา เราไม่อยากคุยกับใคร เขาเก็บให้เรามีความรู้สึกนี้อยู่เรื่อยๆ ต้องเล่าว่า เริ่มคบกันเขา 22 ก็คบกัน 2-3 ปี ไม่มีปัญหา ติดกันอยู้กันสองคนไม่ได้มีประเด็น พอมาช่วงนึง 2-3 ปีผ่านไป เขาก็เริ่มโตถึงอายุนึง ช่วง 25-26 มั้งที่ต้องปรับตัวครั้งแรก เขาเริ่มรู้สึกอยากทำอะไรที่นอกเหนือจากอาชีพนักแสดง มองดูเรื่องธุรกิจ อยากทำนู้น มีเพื่อนเยอะขึ้น มีเพื่อนกลุ่มใหม่ เริ่มจะเที่ยวเยอะ อยากจะเจอคนเยอะ อยากลองผิด ลองถูก ช่วงนั้นพี่ก็อย่างที่เคยพูดเวลารัก รักใครไม่ค่อยเป็น คือรักแล้วจะโพรเทคไปหมด บางทีคนก็อึดอัด เขาเคยพูดกับพี่ว่าปล่อยให้เขาล้ม ให้เขาผิดได้เจ็บเอง ไม่ต้องมาห้ามเขาทำอะไรทุกอย่าง ก็มีช่วงนั้นแหละที่ค่อยๆ ปรับตัวกัน เรื่องปรับกัน ยังหาจุดตรงกลางไม่ได้ ล่าสุดเอกสารวางอยู่ 4-5 วันแล้ว อันนี้ไม่ได้ใช้ พี่ก็รู้ว่าเขาไม่ชอบ คนเราไม่ได้โง่นะ มันรู้ว่าเขาไม่ชอบเรื่องพวกนี้ รู้ว่าเขาขอเรื่องพวกนี้ อย่าไปยุ่งกับเขาเยอะ แต่ก็อดไม่ได้ ใช้อีกไหม จะทิ้งให้ไหม โกรธ พูดเพราะมากเลยนะ มี่ขาอันนี้หนูจะใช้หรือเปล่าพี่หนุ่มทิ้งให้ไหม โกรธ  ที่คบกัน 6 ปีเลิกเรื่องนี้มันทำให้เรามีความหงุดหงิด เหมือนต่างคนต่างมีข้อนี้ในใจ พี่ไม่อยากมีจริงๆ พี่เคยบอกว่าโลกเราสมัยนี้มันอยู่ยาก คนไม่น่ารักเหมือนสมัยก่อน แล้วพี่รู้สึกว่าพี่เป็นคนรักคนไม่ค่อยเป็น เวลารักใครเนี่ย ก็จะรักมาก แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าคนนั้นจะอึดอัด รักแล้วเราก็ต้องมานั่งเป็นห่วง เห็นแก่ตัวแหละ คือมันไม่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นกับใคร แล้วเขาก็สตรองมากที่อยากมี มันหาจุดลงตัวไม่ได้ มันก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้มันเหมือนติดอยู่ในใจ สุดท้ายวันนึงก็เลิกกัน นั่นแหละห่างกันสัก 2 ปี”

“เห็นพี่หนุ่มไปคุยกับคนอื่นเลยรีบกลับมา ก็ขอนัดคุย ก็มาคุยกันว่าเอายังไง รักกันก็รักกัน อยากจะกลับมาคบกันไหม ก็มีข้อสรุปง่ายๆ พี่หนุ่มให้เวลา 2 ปี แต่งงาน มีลูก สเต็ปแรกพี่ยอมก่อน แต่เขาก็ยอมจากมุมที่ยังไงเขาต้องมีให้ได้ พี่ก็บอกอย่างนี้ไหม 2 ปีแล้วให้ธรรมชาติกำหนดว่าเราจะมีลูกไหม แต่ต้องสัญญานะว่าถ้า 2 ปีแล้วยูต้องไม่งอแง ถ้าพ้นไปแล้ว เราก็ใช้ชีวิต 2 คน คือข้อตกลงเจอกันคนละครึ่งทาง แล้วก็กลับมา และแต่งงาน มาใช้ชีวิตพยายามมีลูกกัน 2 ปี วันที่ลูกออกมาวันนั้นก็วุ่นวายอีก พอรกเกาะต่ำคุณหมอก็เตือน เขาคลอดก่อนกำหนดด้วย คุณหมอต้องเตรียมเลือด โทรหาเพื่อนกรุ๊ปเลือดเดียวกันมาเตรียมไว้ ตอนนี้เห็นหน้าลูกเหมือนเห็นตัวเอง เด็กโตกว่าที่เราคิด เขารู้อะไรมากกว่าที่เราคิดว่าเขาจะรู้ สายน้ำเขามีความคิดวางแผนไว้ล่วงหน้า เขาคิดว่าจะทำอะไร เพื่ออะไร ทั้งๆ ที่เด็ก 4 ขวบ มันมีความเหมือนเราบางอย่าง ความระเบียบ ไม่ได้บอก ส่วนเรื่องความหวานพ่อแม่ลดลง  เราคุยกันไว้ก่อนมี พี่เคยมีความคิดที่จะอยู่กัน 2 คน พี่เห็นภาพที่อยู่แก่ๆ กัน 2 คน มันน่ารักดี พี่เคยพูดว่าถ้ามีเราต้องช่วยกันนะไม่ให้ชีวิตคู่มันหายไป หรือความเป็นแฟนมันหายไป อย่าเป็นแค่ พ่อ แม่ พี่พยายามไม่เรียกกันว่าพ่อ แม่ ด้วยซ้ำ”

หนุ่ม เล่าต่อว่า “อยากบอกเขาว่าก็รักแหละ ไม่รู้อธิบายไม่ถูกว่ารักขนาดไหน พี่ก็คุยกันเสมอ หงุดหงิดกันก็แยกกันไปสักพัก เราอยู่กันก็ช่วยกันเติมเต็ม ช่วยกันแก้ไขอีกมุมนึงของอีกฝ่ายนึง พี่เคยมาสำรวจตัวเอง มี่มีมุมที่ให้พี่แทบจะทุกความรู้สึก ตั้งแต่เอ็นดู ห่วงใย รัก เขาเป็นหลายๆ อย่างของพี่ แล้วพี่ก็มีความรู้สึก ไม่ว่ามุมไหน พี่ก็หามุมมองที่เอ็นดูให้อภัย มองข้าม แล้วกลับมารักกันใหม่ เมื่ออารมณ์เราเย็นลง ชีวิตพี่กับเขาก็จะประมาณนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เราเสียใจ ยอมรับไม่ได้ หรืออภัยไม่ได้ อย่างบางคนก็มีอารมณ์วูบๆ วาบๆ บ้าง เราก็ต้องยอมรับให้ได้ มองข้ามบ้าง”