เชื่อว่าหลายคนคงจำกันได้ดี กับข่าวที่โด่งดังมาก ทำเอาเตียงคู่รักแสนโรแมนติกถึงกับหัก ระหว่าง “แพท ณปภา” นักแสดงชื่อดัง กับหนุ่มนอกวงการ “เบนซ์-อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช” นักแข่งรถจักรยานยนต์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักฉายา เบนซ์ เรซซิ่ง โดยจุดเริ่มต้นของคดีนี้ เริ่มจาก ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้รวบตัว นายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 42 ปี ชาวลาว ราชายาเสพติดรายใหญ่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2560

ทั้งนี้ เป็นเหตุที่มีขยายผลจับกุม บอย นาคคำ ซึ่งมีการนำทรัพย์สินที่มีโยกไปไว้ที่ เบนซ์ เรซซิ่ง ต่อมาตกเป็นประเด็นและสืบคดีต่อถึงปมสาเหตุในครั้งนี้ โดยวันนี้ ทีมข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ จะพาทุกคนไปรื้อแฟ้มคดีข้ามชาติ และจุดจบของการต้องปิดแฟ้มคดี ตำรวจได้สืบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดอะไรไปแล้วบ้าง

ในปี 2560
2 ก.พ. 2560 ตำรวจเปิดยุทธการเข้าล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดนายไซซะนะกว่า 40 จุด ทั้ง กทม. และต่างจังหวัด ก่อนบุกเข้าตรวจค้นที่พักของ เบนซ์ เรซซิ่ง แต่ไม่พบตัว ซึ่งทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปตรวจค้นร้านแอเรีย 51 ร้านแต่งรถบิ๊กไบค์ของเบนซ์ พร้อมยึดรถหรูแลมโบกินี ทะเบียน กจ 51 กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท, รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์เคทีเอ็ม รุ่นซูเปอร์ดุ๊ก, รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ติดป้ายทะเบียน, อาวุธปืน 2 กระบอก

3 ก.พ. 2560 เบนซ์ เรซซิ่ง พร้อมด้วยแม่และทนายความเข้าให้ปากคำ เพื่อชี้แจงที่มาของทรัพย์สินพร้อมยอมรับว่ารู้จักกับบอยจริง เพราะทั้งคู่ชื่นชอบเรื่องการแต่งรถบิ๊กไบค์ และยืนยันว่าไม่รู้เบื้องว่าทำธุรกิจอะไร ซึ่งทำให้ตำรวจเดินหน้าไขคดีต่อเนื่อง จากมีการให้ยืมเงิน 6 ล้านบาท เพื่อซื้อรถแลมโบกินี โดยตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้

7 ก.พ. 2560 ต่อมามีด้าน ไผ่ วันพอยท์ พร้อมด้วยพรรคพวกเข้าให้ปากคำกับตำรวจ เพื่อชี้แจงเรื่องที่เบนซ์และบอย ยอมรับมาปรึกษาเรื่องซื้อรถแลมโบกินี ก่อนมีการยืนยันว่า ไม่รู้จักคนทั้งคู่เป็นการส่วนตัว

8 ก.พ. 2560 ขณะเดียวกัน เอก บูโน่ เจ้าของเต็นท์รถในย่านพระราม 3 ก็ได้เดินทางเข้ามาให้ปากคำตำรวจเช่นเดียวกัน เรื่องซื้อขายรถแลมโบกินีให้เบนซ์ โดยเอกยืนยันเป็นการซื้อขายรถมือสองถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อมาทำใหั ป.ป.ส. ต้องสั่งยึดทรัพย์สินชั่วคราวของบอยและเบนซ์ รวม 12 รายการ

16 ก.พ. 2560 เบนซ์เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนเป็นครั้งที่ 2 พร้อมโชว์หลักฐานการกู้เงินและแหล่งที่มารายได้ทั้งหมด

3 มี.ค. 2560 บช.ปส. ก็ได้ออกหมายเรียกเบนซ์ เพื่มเข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันกระทำความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และฟอกเงิน

6 มี.ค. 2560 โดยเบนซ์เข้าพบ พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการ ปส. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ทั้งนี้มีการควบคุมตัวฝากขังต่อศาลอาญา โดยเบนซ์ได้ยื่นหลักทรัพย์ 500,000 บาท เพื่อขอประกันตัวอีกด้วย

7 มี.ค. 2560 ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผลจากการตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารของเบนซ์ พบว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท พอเมื่อสอบสวนถามแหล่งที่มา กลับไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้เลย

ในปี 2561
7 ก.ย. 2561 ณ ศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกเบนซ์ เป็นระยะเวลา 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน (คดีเครือข่ายไซซานะ นักค้ายาเสพติด) และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือสมคบกันค้ายาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปรามยาเสพติด

ต่อมาทำให้เบนซ์ พยายามยื่นขอสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ พร้อมวางหลักทรัพย์ขอประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีวงเงินกว่า 1 ล้านบาท โดยทางศาลอนุมัติให้ประกันตัว แต่ต้องสวมกำไลอีเอ็ม (EM)

ในปี 2562
ช่วงประมาณปลายปีศาลอนุญาตให้ปลดกำไลอีเอ็ม แต่ต้องรายงานตัวทุก 2 เดือนแทน
24 มิ.ย. 2563 กำหนดนัดรายงานตัวต่อศาล แต่เบนซ์ไม่ได้มารายงานตัว อ้างว่าจำวันผิดเป็นวันที่ 25 มิ.ย. 2563 ขณะเดียวกันช่วงเช้าตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้จับกุมกลุ่มรถจักรยานยนต์ โดยมีหนุ่มเบนซ์รวมอยู่ด้วย ขณะขับขี่รถบริเวณโรงแรมรามาการ์เด้นส์ ในช่องทางด่วนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ผิด พ.ร.บ.จราจรฯ

ในปี 2564
11 ก.พ. 2564 ศาลนัดฟังคำพิพากษาเบนซ์ พร้อมจำเลยที่ 2, 3 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิด พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และ พ.ร.บ.การฟอกเงิน ซึ่งการกระทำของเบนซ์เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานสนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 5,000,000 บาท ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันจำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงรวมจำคุก มีกำหนด 36 ปี 8 เดือน และปรับ 3.33 ล้านบาท จำเลยขอฎีกา

24 ต.ค. 2566 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เบนซ์, สรรเสริญ รสานนท์ และ น.ส.อังสุพร อินา เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยบกับยาเสพติด ร่วมกันฟอกเงิน

ต่อมาศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่าแม้คดีนี้อัยการโจทก์จะมีรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพิดและเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงาน ปปง. เบิกความทำนองเดียวกันว่า เบนซ์จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นผู้สนับสนุนการค้ายาเสพติดของกลาง แต่อย่างไรก็ตามจำเลยคนอื่นในคดีนี้ไม่ได้เบิกความอ้างถึงว่าเบนซ์จำเลยที่ 1 ร่วมกระผิดตามที่อัยการโจทก์ฟ้องในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นพิพากษายกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

โดยเบนซ์มีความผิดเฉพาะข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งศาลอุทธรณ์จำคุก 3 ปี 4 เดือน และได้ติดคุกมาแล้ว 4 ปีเศษ ดังนั้นจะได้รับการปล่อยตัวที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางในช่วงเย็นวันที่ 24 ต.ค. 2566…