จากกรณีที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ดำเนินคดีกับขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบ คดีพิเศษที่ 59/2566 หลังจากได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (เนื้อสุกรแช่แข็ง) ตั้งแต่ปี 2564-ปัจจุบัน มีพยานหลักฐานตามสมควร จึงได้มีมติให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาและแจ้งข้อกล่าวหากับผู้นำเข้าสินค้าเนื้อสุกรแช่แข็ง ทั้งในฐานะนิติบุคคลและในฐานะบุคคลธรรมดา รวมเบื้องต้น 6 ราย (จับกุมครบแล้ว) ในความผิดฐานหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากร ที่ต้องเสียสำหรับของนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 มาตรา 244 และนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์ หรือซากสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 68 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 นั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ต.ค. ที่ ซอยประชาอุทิศ 13 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อน พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกันเปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 2 จุด ซึ่งเป็นของบริษัท เดอะ กู๊ด ช็อป จำกัด THE GOOD SHOP CO., LTD แบ่งเป็น อาคารเลขที่ 34/20 และอาคารเลขที่ 34/24 ซอยประชาอุทิศ 13 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและพยานวัตถุเพิ่มเติม ก่อนนำเข้าประกอบสำนวนคดีพิเศษที่ 59/2566 โดยการตรวจค้นในวันนี้ สืบเนื่องมาจากการขยายผลที่ได้จับกุมกรรมการของบริษัทชิปปิ้งเอกชน 6 ราย (5 บริษัท) จึงพบเส้นทางการเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องว่า บริษัท เดอะ กู๊ด ช็อป จำกัด รับหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินให้กับบริษัทชิปปิ้งเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อสั่งซื้อเนื้อสุกรแช่แข็งก่อนนำเข้าประเทศไทยผ่านพิธีการศุลกากร โดยการสำแดงเท็จเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง (Frozen Food)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นของดีเอสไอ พบว่า บริเวณด้านหน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 34/20 ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 4 ชั้น อยู่ปากซอยวัดเทพนิมิตต์ แสดงชื่อเป็นป้ายร้านจำหน่ายเนื้อวัว เนื้อสัตว์ และเครื่องในประเภทต่างๆ แช่แข็ง ส่วนบริเวณชั้นล่างเปิดเป็นร้านจำหน่ายเบียร์และไวน์ ส่วนบริเวณชั้นบนพบเปิดเป็นลักษณะห้องอาหารและสำนักงาน อีกทั้งบริเวณด้านหลังของอาคาร พบว่ามีจุดที่ใช้ในการสไลซ์เนื้อสัตว์แช่แข็ง และมีการติดตั้งตู้แช่อยู่ภายในอาคารอีกด้วย โดยในระหว่างการเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอไม่พบเจ้าของอาคาร จึงได้ประสานเจ้าของอาคารให้มาพบพนักงานสอบสวนภายใน 1 ชั่วโมง

จากนั้นเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ไปตรวจค้นยังจุดเป้าหมายที่ 2 เป็นอาคารพาณิชย์ 1 คูหา 4 ชั้น เลขที่ 30/24 (ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร) ลักษณะเป็นอาคารสำนักงานและมีตู้แช่เนื้อสัตว์อยู่ที่ด้านหลังอาคารอีกจำนวนหนึ่ง โดยในจุดดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบพนักงานจำนวนหนึ่งของบริษัทอยู่ภายใน จึงได้นำกำลังเข้าไปตรวจค้น พร้อมกับนำเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปตรวจสอบ เก็บพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารและเนื้อสัตว์แช่แข็ง เพื่อนำไปตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังติดตามอยู่หรือไม่ (คดีหมูเถื่อน 161 ตู้)

ด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า จากข้อมูลการสืบสวนสอบสวนพบว่าบริษัทที่ดีเอสไอเข้าตรวจค้นในวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับตู้คอนเทเนอร์ ประมาณ 21 ตู้ จากทั้งหมด 161 ตู้ ซึ่งนอกเหนือจากการนำเข้าเนื้อหมูจำนวนดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีขบวนการแอบลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนเข้ามาที่ท่าเรือแหลมฉบังตั้งแต่ปี 2564 อีกรวมแล้วกว่า 2,385 ตู้ อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่เข้าตรวจค้นในวันนี้คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งเนื้อหมูแช่แข็งรวมกว่า 100 ตู้ ซึ่งดีเอสไอจะดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังไปยังข้อมูลของตู้คอนเทเนอร์ทั้งหมด และจะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานประกอบเข้ากับสำนวนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ตู้คอนเทเนอร์ดังกล่าวมักมีการสำแดงเท็จเป็นสินค้าแช่แข็งประเภทอื่น (Frozen Food) แต่ภายในเป็นเนื้อหมูและเนื้อสัตว์เถื่อนที่ลักลอบนำเข้าเข้ามา

ทั้งนี้ การเข้าตรวจค้นในวันนี้นั้น มาจากการขยายผลที่ดีเอสไอได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทเอกชน ซึ่งมีการให้การพาดพิงมาถึง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบพยานหลักฐาน และเส้นทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงมายังบริษัทแห่งนี้ ดีเอสไอจึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขอศาลออกหมายจับบุคคล 2 ราย ซึ่งเป็นนายทุนเบื้องหลัง ในความผิดฐาน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากร ที่ต้องเสียสำหรับของนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 243 มาตรา 244 และนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์ หรือซากสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 68 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 นั้น และหมายค้น 2 หมาย สำหรับสถานที่สองจุดในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหา 2 ราย ในวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว

พ.ต.ต.สุริยา เผยอีกว่า นอกจากจะพบว่าเส้นทางการเงินหลังจากที่นายทุนได้สั่งซื้อ มีการโอนไปยังบริษัทชิปปิ้งเอกชนแล้ว ยังได้มีการโอนเงินไปยังเจ้าหน้าที่รัฐอีกส่วนหนึ่ง โดยมีการติดต่อขอนำเข้าสำแดงสินค้ากับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่ง ผ่านการดำเนินการกับบุคคลเดิมซ้ำๆ จนเชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนดังกล่าว อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ อย่างไรจะต้องตรวจสอบต่อไปเพื่อให้ได้ความชัดเจนว่า มีบทบาทเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด ส่วนกรณีที่มีการสงสัยว่าบริษัทดังกล่าวนี้ จะเป็นพื้นที่กระจายเนื้อหมูเนื้อวัวเถื่อนในดอนเมืองด้วยหรือไม่นั้น เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าว มีร้านบุฟเฟ่ต์ ชาบูหมูกระทะปิ้งย่างเป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวมีความเป็นไปได้ เพราะพบว่าภายในบริเวณจุดตรวจค้นมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการสไลซ์เนื้อสัตว์แช่แข็งและพบห้องเย็นอยู่ภายในจุดตรวจค้นทั้ง 2 จุดนี้ด้วย นอกจากนี้ ภายในอาคารพาณิชย์จุดแรก ยังพบเนื้อหมูต้องสงสัยจำนวน 2 กล่อง กล่องละ 10 กิโลกรัม รวมน้ำหนัก 20 กิโลกรัม จึงได้ให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นำกลับไปตรวจสอบว่าเป็นเนื้อหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าหรือมีที่มาจากประเทศใด หรือมีความเชื่อมโยงกับเนื้อหมูเถื่อนภายในตู้คอนเทเนอร์ที่ถูกอายัดไว้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง หรือไม่

พ.ต.ต.สุริยา เผยต่อว่า จากการตรวจสอบย้อนหลัง พบการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนจำนวนกว่า 2,385 ตู้ ทำให้กรมศุลกากรสูญเสียการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรตู้ละ 500,000 บาท รวมแล้วมากกว่า 1,192 ล้านบาท ซึ่งจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายกับขบวนการที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง รวมถึงผู้ประกอบการรายใดที่รับซื้อเนื้อหมูเถื่อนจากบริษัทต่างๆ นี้ ก็จะถูกดำเนินคดีในฐานความผิดเดียวกัน และอาจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายดังกล่าวที่เกิดขึ้นด้วย

ส่วนแนวทางการทำลายเนื้อหมูเถื่อนที่เหลืออีก 140 ตู้ ซึ่งยังอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้น พ.ต.ต.สุริยา เผยว่า ก่อนหน้านี้มีการฝังกลบทำลายแล้ว 20 ตู้ เผา 1 ตู้ รวมทำลายของกลางไปแล้ว 21 ตู้ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว ต.คลองไก่เถื่อน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ดังนั้น ที่เหลืออีก 140 ตู้ ที่จะต้องทำลายที่เดิม ปรากฏว่าได้รับข้อร้องเรียนจากชาวบ้านถึงเรื่องกลิ่นเหม็นเน่า จึงได้มีการประชุมกันใหม่ และลงมติกันว่าจะย้าย 140 ตู้ที่เหลือ ไปฝังกลบทำลายที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แทน และจริงๆ แล้วในวันนี้มีกำหนดจะต้องนำเนื้อหมูไปทำลายประมาณ 30 ตู้ ที่จังหวัดปราจีนบุรี แต่ทราบข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต่อต้านการนำเนื้อหมูจำนวนดังกล่าวเข้ามาฝังกลบทำลาย เนื่องจากเกรงเรื่องโรคระบาดและกลิ่นเหม็นเน่ารบกวน จึงทราบว่ากรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และพิจารณาเรื่องการฝังกลบทำลายตามขั้นตอน นอกจากนี้ ยังยอมรับว่าทางดีเอสไอและคณะกรรมการทำลายเนื้อหมูเถื่อนได้ตั้งเป้าจะทำลายเนื้อหมูทั้งหมดภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ แต่หากติดปัญหาดังกล่าว ก็เชื่อว่าการฝังกลบทำลายน่าจะไม่ทันตามกรอบเวลาที่มีอยู่ จึงอาจพิจารณาขยายกรอบเวลาการทำลายออกไป เพื่อความสบายใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่.