“ไฟสงครามอิสลาเอล” ดูเหมือนว่าจะมีความยืดเยื้อยาวนาน ที่สำคัญยังเป็นแรงกดดัน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดิมพันชีวิตของแรงงานไทย จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ “รัฐบาลเศรษฐา” ต้องรีบเข้าไปช่วยแรงงานไทยกลับบ้านอย่างปลอดภัย โดยเร็วที่สุด

ที่ชัดเจนที่สุด สงครามเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่ “นายกฯ เศรษฐา” สั่งลุยไฟ ตกหนักที่ “เสี่ยหนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท เรียกประชุมคณะอนุกรรมการ ปรับเกณฑ์การแจกเงิน หลังมีเสียงคัดค้านให้ถอยโครงการนี้ เพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย

ล่าสุด “เสี่ยหนิม” ได้ออกมาเผยผลประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ดับฝันไม่แจกเงินดิจิทัลอายุ 16 ปี แบบถ้วนหน้าแล้ว นอกจากนี้ มีการปรับเงื่อนไขหลักเกณฑ์ในการแจกเงิน จะ “ตัดคนรวยออก” โดยมีการจัดลำดับความรวย 3 แนวทางกลุ่มเป้าหมาย คือ 1.ตัดสิทธิคนที่มีรายได้เกิน 5 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีมากกว่า 5 แสนบาท ซึ่งจะเหลือผู้เข้าเกณฑ์ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท 2.ตัดสิทธิคนที่มีรายได้เกิน 2.5 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีมากกว่า 1 แสนบาทออก ซึ่งจะเหลือผู้ที่เข้าเกณฑ์ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท และ 3.ให้สิทธิเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีราว 15-16 ล้านคน ใช้งบประมาณ 1.5-1.6 แสนล้านบาท และการแจกอาจจะต้องเลื่อนไปเดือนถึงเดือน เม.ย.-พ.ค. 67 เพราะต้องรองบประมาณ

กลายเป็นวาระร้อนต่อเนื่องของ “รัฐบาลเศรษฐา” ขึ้นมาทันที โดนถล่มยับจากการจัดเกรดคนรวย ทำให้ “เสี่ยนิด” ออกมาเด้งเชือก เดินเกมยื้อ บอกยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ ต้องขอคุยกันในคณะกรรมการชุดใหญ่ก่อน

ต้องมาร้องอ๋อจาก “น้องไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ออกมาชี้ให้เห็นถึงการความจำเป็นที่ “รัฐบาลเศรษฐา” ต้องออกมาเปลี่ยนเงื่อนไขเพราะไม่มีเงิน หลังจากกู้ออมสินไม่ได้ แล้วต้องหันมาใช้งบปี 67 ก็พบว่า งบไม่พอ สามารถเกลี่ยงบมาใช้ได้เพียงแค่ปีละ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ถึงปรับหลักเกณฑ์ให้เหลือผู้รับประโยชน์ 43 ล้านคน ยังต้องตั้งงบประมาณถึง 4 ปี ถึงจะจ่ายหมด แล้วร้านค้าที่ไหนจะรอได้ พร้อมฟาดอีกว่า ถ้านโยบายถูกคิดมาอย่างดี อย่างรอบคอบ คงไม่ตกม้าตายเรื่องหางบประมาณไม่ได้แบบนี้

งานนี้มีหนาว เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้ง “เปาบุ้นจิ้น” ขึ้นมาตรวจสอบโครงการนี้แล้ว โดยดึง “สุภา ปิยะจิตติ” กรรมการ ป.ป.ช. มือปราบจำนำข้าว มาเป็นประธานคณะกรรมการ เพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต

มาถึงแยกวัดใจของ “รัฐบาลเศรษฐา” ว่าจะยอมเสี่ยงทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ หรือไม่ยอมถอย และหากจะสู้เดินหน้าลุยไฟแจก อะไรจะเกิดขึ้น แต่จะแจกแบบไหน หากแจกเฉพาะบางกลุ่ม ก็เท่ากับว่า เพื่อไทยไม่ทำตามคำพูดตัวเองที่เคยประกาศไว้ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทย เสียรังวัดเอง พูดไว้แต่ทำไม่ได้ และยิ่งเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยเองด้วย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมหากาพย์การจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ออกมาบอกว่า จะชะลอซื้อเรือดำน้ำ เปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต เรื่องนี้เป็นมรดกบาปที่ตกทอดมาถึง “รัฐบาลเศรษฐา” ที่ต้องมาแบกรับเผือกร้อน

เข้าทางฝ่ายค้าน โดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ลับดาบรอกองทัพเรือมาชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า มีการผิดสัญญาจริงหรือไม่ อย่างไร และมีความเป็นไปได้ในการคลี่คลายปัญหานี้อย่างไร เข้าใจว่าการทวงเงินคืนอาจจะยาก เนื่องจากต้องดูสัญญาก่อน แต่เงิน 7,000 ล้านบาท ที่จ่ายไปแล้ว จะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด

ล่าสุด รมต. “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน ได้ออกมาดับฝันแรงงานไทยว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั้งประเทศ ทำไม่ได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีความแตกต่าง

ทุกอย่างล้วนเป็นโซ่ตรวนพันเท้าพรรคเพื่อไทย จากนโยบายโคตรประชานิยม ถ้าทำไม่ได้ตามที่ได้ประกาศไว้ จะกลายเป็นแรงกระเพื่อม จนกลายเป็นสึนามิถาโถมเข้าใส่ เกิดวิกฤติศรัทธาต่อพรรคเพื่อไทยเอง

งานนี้ “นายกฯ เศรษฐา” รู้อยู่แก่ใจว่า อะไรจะเกิดขึ้น จึงเดินเกมเปลี่ยนเรื่องใหม่กลบเรื่องเก่า ขอเสียงเพิ่มจากลุ่ม LGBTQ เตรียมนำเสนอร่างกฎหมายโดยภาคประชาชนเสนอ ทั้งสมรสเท่าเทียมและกฎหมายรับรองเพศสภาพและการยกเลิกการปราบปรามการค้าประเวณี และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Bangkok World Pride และส่งเสริมงาน Pride Parade/การขยายสิทธิบัตรทองเพื่อคนข้ามเพศ รวมถึงการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 31 ต.ค. นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินการประชุม ครม. ในนัดถัดไป

หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งมา 2 เดือน “นายกฯ เศรษฐา” ก็เจอพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกมาตลอด นิมนต์เกจิชื่อมาสวดมนต์ ทำบุญตักบาตร ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นการส่วนตัว เอากฤษ์เอาชัย ก่อนเข้ามานอนค้างคืนที่ตึกไทย

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยก็รู้เป็นโจทย์ยาก จึงต้องหันมาปรับทัพจัดองคาพยพใหม่ เปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยยกชุด ดัน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรค โดยมี “เสี่ยบอย” สรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของ “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง เจ้าพ่อแห่งวังน้ำเย็น นักปั้นมือทอง ทำหน้าที่แม่บ้าน เป็นเลขาฯ พรรคเพื่อไทยคนใหม่ การปรับทัพครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญ โดยเอาคนรุ่นใหม่มานำพรรค เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ที่เพื่อไทยรู้อยู่แล้วว่า คู่แข่งจริงๆ คือ พรรคก้าวไกล

หมากเกมนี้ เป็นแผน “ทักษิณ ชินวัตร” วางไว้ตั้งแต่แรก ที่เคยบอกว่า “เศรษฐา” อยู่ทำเนียบฯ “อุ๊งอิ๊ง” อยู่พรรค ฝึกงานรอเป็นนายกฯ ต่อจาก “เสี่ยนิด”

สอดรับที่ “นายกฯ เศรษฐา” หลุดปากหยอกกลับช่างภาพที่ขอถ่ายรูปนายกฯ จะเอาคนไหน เพราะมีนายกฯ 2 คน เมื่อวันที่จูงมือ “อุ๊งอิ๊ง” แต่งผ้าไทย ควง ครม.พรรค และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ฯ เข้าร่วมชมภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ”

แต่สิ่งที่ “อุ๊งอิง” ยังต้องเผชิญกับกระแสกดดัน จากกรณี “นักโทษเทวดา” ทักษิณ ชินวัตร ที่จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่ได้นอนคุกสักคืน จนเกิดคำถามตามมาว่า “คนจนมีสิทธิไหมครับ”

ส่งท้ายปิดสมัยประชุมสภาเกิดเรื่องเดือดๆ จากการชิงเหลี่ยมการเมืองในสภา โดยนายกฯ “เศรษฐา” หนีตอบกะทู้ถามสด ของ “เดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีปัญหาพลังงาน ปัญหาการปฏิรูปตำรวจ และกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีการเมือง โยนให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงแทน ทำให้ “เดอะต๋อม” ถึงกับควันออกหู ออกอาการเซ็ง ออกมาฟาดนายกฯ ฟ้องชาวโซเชียล ขึ้นโพสต์ ระเบิดอารมณ์ ผิดหวัง “นายกฯ เศรษฐา” ที่เลือกตอบแต่กระทู้โฆษณารัฐบาล แต่เลี่ยงตอบกระทู้ก้าวไกล ซึ่งประเด็นสำคัญของปัญหาที่ต้องการถามนายกฯ เพราะจะเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจที่มีลักษณะ “ประยุทธ์คิด เศรษฐาทำ ไอ้โม่งสั่ง” จึงเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังที่ไม่กล้าเผชิญหน้าการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน ในสภา

งานนี้เห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบแล้ว ทุกย่างก้าวของพรรคเพื่อไทย จะประมาทไม่ได้ ถ้าพลาดมารับรองโดยพรรคก้าวไกลรุมสับยับแน่นอน.