เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ. 5 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงและค้ายาเสพติด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย ยึดรถกระบะ 2 คัน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด ซึ่งผู้ต้องหาได้ซุกซ่อนไว้ในถุงบัวหิมะท้ายรถกระบะขนส่งสินค้า หวังตบตาเจ้าหน้าที่ และมีการแบ่งงานโดยให้รถ 1 คันสำรวจเส้นทาง ส่วนอีกคันสำหรับบรรทุกยาเสพติด

ทั้งนี้การจับกุมดังกล่าว เนื่องจากเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าจะมีกลุ่มขบวนการลับลอบค้ายาเสพติดลำเลียงยาบ้าจากพื้นที่แนวชายแดนเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์กระบะ 2 คัน ซึ่งคันที่ใช้เป็นรถนำทางนั้นมีลักษณะติดโครงเหล็กไว้ด้านหลังและใช้ผ้าใบคลุมไว้ ขับผ่านแนวชายแดน อ.แม่ฟ้าหลวง – อ.แม่จัน จ.เชียงราย เข้ามายัง จ.เชียงใหม่ ผ่าน อ.ไชยปราการ อ.เชียงดาว และ อ.แม่แตง ก่อนมาพักจอดอยู่บริเวณถนนเลียบลำน้ำปิง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจค้น และพบผู้ต้องหา 3 รายดังกล่าว คือ นายธนภัทร (สงวนนามสกุล) นายประสิทธิ์ (สงวนนามสกุล) และนายณัฐพล (สงวนนามสกุล) ทั้งหมดล้วนให้การยอมรับ เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นหลักฐานและควบคุมตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

พ.ต.อ.ทวี รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของพลเรือน ตำรวจ และทหารที่บูรณาการความร่วมมือกันอย่างเข็มแข็ง สถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทยขณะนี้ ต้องเรียนว่าประเทศไทยเราไม่มีโรงงานผลิตยาบ้าอยู่ในประเทศ แต่ยาบ้าเหล่านี้ล้วนผลิตอยู่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านและได้ถูกลักลอบนำเข้าสู่ประเทศไทย จึงไม่สามารถนำกำลังเข้าไปปราบปรามได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ภาคเหนือมีการจับกุมการนำเข้ายาเสพติดประมาณร้อยละ 80 ของประเทศ แต่ในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือประมาณร้อยละ 55 โดยกลุ่มขบวนการลอบขนยาเสพติดมีการเปลี่ยนเส้นทางไปทางภาคอีสานแทน

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า รัฐบาลเตรียมกำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษตามมาตรา 5 (10) ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ในพื้นที่ 15 อำเภอใน 3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ และ จ.นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบการลักลอบนำเข้ายาเสพติดสูงในระดับ 1 ล้านเม็ดขึ้นไป เพื่อให้การสกัดกั้นยาเสพติดได้ผล ซึ่งจะดำเนินมาตรการทางต่างประเทศ ควบคู่กับการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ เป็นหน่วยที่มีเอกภาพในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ให้ยาเสพติดเข้าสู่เขตภาคเหนือ ในระยะ 1 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จนถึงสิ้นปี 67 พร้อมกันนั้นต้องลดจำนวนผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ลดผลกระทบจากผู้ป่วยจิตเวช ภายใต้แนวคิด เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ส่วนผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด ยังต้องใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง และยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาต่อไป

พ.ต.อ.ทวี กล่าวถึงกรณีการจับกุมยาเสพติดเรื่องการตีความผู้ค้าและผู้เสพจากจำนวนการครอบครอง ว่าสำหรับผู้เสพยาเสพติดอาจมีหลักล้าน แต่ตัวเลขยืนยันเป็นทางการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีประมาณ 600,000 ราย แต่ที่อันตรายที่สุดที่พบเห็นเป็นข่าวรายวัน คือ ผู้เสพที่มีอาการทางจิตเวช เช่น มีอาการจิตหลอน มีการไปทำร้าย ฆ่า หรือทำลายทรัพย์สินผู้อื่น ซึ่งทราบว่ามีจำนวนประมาณ 30,000 ราย โดยจะเป็นกลุ่มที่เราต้องนำเข้ากระบวนการบำบัดฟื้นฟูตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะเอากลุ่มผู้เสพที่มีอาการทางจิตเวชให้เข้ารับการบำบัดรักษาโดยระบบสาธารณสุข และตามสถานชุมชนต่างๆ ต้องมีสถานในการฟื้นฟูผู้เสพยา และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะได้ทำการบำบัดและกลับมาเป็นคนที่ดีในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมต้องร่วมด้วยช่วยกัน ชัยชนะนั้นอยู่ที่ชุมชนอยู่ที่หมู่บ้าน ทั้งนี้ การครอบครองยาเสพติด แม้ครอบครองเพียง 1 เม็ด ก็เป็นผู้ค้ายาเสพติดได้ เพราะเราจะพิจารณาอย่างเข้มข้นจากรายงานการสืบสวน ไม่ใช่เพียงการเอาตัวยาเสพติดมาเป็นเกณฑ์ แต่เราต้องเอาพฤติกรรมมาเป็นเกณฑ์ เช่น หากครอบครองต่ำกว่า 5 เม็ด แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนแล้วพบว่ามีลักษณะเป็นผู้ค้า ก็ต้องถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ค้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1

พ.ต.อ.ทวี กล่าวปิดท้ายว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ปัญหายาเสพติดให้ครบวงจร โดยให้มีผลภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ประกาศในบางพื้นที่ให้มีระยะเวลาในการปราบปรามยาเสพติด 1 ปี โดยจะตั้งศูนย์บัญชาการสกัดกั้นป้องกันปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสกัดกั้นสารตั้งต้น ซึ่งทางภาคเหนือก็จะมี จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย รวม 11 อำเภอ ส่วนทางภาคอีสาน จะมี จ.นครพนม อีก 4 อำเภอ รวมทั้งหมด 3 จังหวัด 15 อำเภอ โดยเราจะคุมเข้มให้มีประสิทธิภาพ เอกภาพ ทั้งด้านการข่าวและการร่วมมือ.