จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก “พระจันทร์ ลายกระต่าย V3” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “นายอำเภอ กับ อส. จับกุมผู้ต้องหาในพื้นที่สุราษฎร์ฯ แล้วซ้อมให้บอกที่ซ่อนยาฯ โดยใช้ถุงดำคลุมหัว นอภ.กับ อส.ถูกดำเนินคดี พ.ร.บ.อุ้มหาย” นั้น

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ศริกุล พนักงานสอบสวน สภ.ชัยบุรี ได้รับแจ้งความจากนายสมพงษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี ผู้ต้องหากระทำผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด ให้ดำเนินคดีกับนายอำเภอคนหนึ่งและพวก ทำร้ายร่างกาย โดยอ้างว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ย. นายอำเภอพร้อมพวก เข้ามาในบ้านพักของตนเอง พร้อมกับจับใส่กุญแจมือมัดไว้ข้างหลัง ร่วมกันทำร้ายร่างกายแล้วรื้อค้นหาภายในบ้าน พบยาบ้าบริเวณในห้องน้ำ 50 เม็ด ก่อนได้สอบถามว่ามียาบ้าอีกหรือไม่

จากนั้น ได้นำตัวตนมาที่ว่าการอำเภอ ควบคุมตัวไว้ ระหว่างนั้น อาสาฯ ได้ใช้ถุงดำครอบศีรษะรัดคอเพื่อถามเรื่องยาบ้า และเขียนบันทึกจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชัยบุรี ตนเองจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายมาก อยากไปพบแพทย์ตรวจร่างกาย พนักงานสอบสวนจึงทำหนังสือส่งตัวไปตรวจร่างกายเพื่อตรวจร่องรอยหาสาเหตุการบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย ส่วนนายอำเภอกับพวก ทางตำรวจจะเชิญมาสอบสวน

ว่าที่ร้อยโทสมชาย เรืองจันทร์ ปลัดจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เบื้องต้นได้รับรายงานจากนายอำเภอที่ถูกพาดพิง ว่า ขณะเข้าจับกุมได้มีการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.อุ้มหาย (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565) เลยได้มีการบันทึกคลิปไว้ตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนสาเหตุที่ถูกผู้ต้องหาแจ้งความดำเนินคดีนั้น นายอำเภอจะได้เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

“ยืนยันว่าหากนายอำเภอและเจ้าหน้าที่กระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีไปตามที่ถูกกล่าวหา ไม่มีการช่วยเหลือ แต่ในชั้นนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งตั้งแต่มีการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.อุ้มหาย ทางฝ่ายปกครอง ที่มีตนเป็นผู้รับผิดชอบได้มีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทุกนาย โดยมีนักกฎหมาย พนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด เป็นวิทยากรให้ความรู้จึงเชื่อว่าในส่วนของฝ่ายปกครองมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.อุ้มหาย เป็นอย่างดี” ว่าที่ร้อยโทสมชาย กล่าว

ต่อมา ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านนายสมพงษ์ ที่เกิดเหตุในพื้นที่ ต.คลองน้อย อ.ชัยบุรี พบบ้านปิดเงียบไม่มีใครอยู่ เนื่องจากปกติอยู่กับลูกสาวอีก 1 คน แต่ลูกเพิ่งถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ จึงเดินทางไปพบพ่อกับแม่นายสมพงษ์ ที่อยู่บ้านอีกหลังห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตร ทั้งคู่ตกใจไม่ทราบว่าลูกชายถูกจับยาเสพติด ซึ่งผู้เป็นแม่ถึงกับร้องไห้ บอกว่า ลูกชายเคยถูกจับเรื่องยาเสพติดหลายครั้ง แต่ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย หากเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายแบบที่ลูกชายแจ้ง ตนก็รู้สึกเสียใจ เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ควรทำเช่นนั้น

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ว่ามีการพูดถึงเรื่องจับยาบ้ามีการซ้อมกันหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าให้สัมภาษณ์.