เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ 715/2566 ระหว่าง นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เหยื่อตำรวจซ้อมทรมานคลุมถุงดำ เป็นโจทก์ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ฐานละเมิด เรียกค่าเสียหาย 13 ล้าน

คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2552 นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีจับกุมและซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย โดยมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดีวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งจากการสืบสวนในภายหลังพบว่าเป็นการจับผิด ขณะนั้น นายฤทธิรงค์ มีอายุเพียง 18 ปี เท่านั้น ต่อมาปี 2558 นายฤทธิรงค์ได้ฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวรวม 7 นาย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ม.ค. 52-10 เม.ย. 64 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. 64 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำใช้จ่ายในการดำเนินคดี 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้นนับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทหน่วยงานของรัฐ ด.ต.ฉลาด ทองละมุล พ.ต.ท.อเนก อุ่นจันทร์ พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ โพธิราช พ.ต.ท.ปัญญา เรือนดี ด.ต.พิชิต หะมณี พ.ต.อ.กลยุทธ ด่อนแผ้ว และ ด.ต.อธิคม ศรีพุทโธ เป็นข้าราชการตำรวจ และเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลย เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 52 มีคนร้ายทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ในเขตพื้นที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวโจทก์ไปที่สถานีตำรวจ นายสมศักดิ์บิดาโจทก์พาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล มีหลักฐานการร้ายร่างกาย ต่อมาวันที่ 3 ก.พ. 2552 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ว่ากระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้ผลการจับกุมโจทก์ให้การปฏิเสธต่อมาพนักงานสอบสวนทำความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องโจทก์ พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้อง ตำรวจเป็นจำเลยทั้ง 7 คน ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาศาลได้ยกฟ้องจำเลยบางราย แต่มีมูลความผิดเฉพาะ พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ โพธิราช พ.ต.ท.ปัญญา เรือนดี ด.ต.พิชิต หะมณี พ.ต.อ.กลยุทธ ด่อนแผ้ว โจทก์ถอนฟ้อง ด.ต.พิชิต พ.ต.อ.กลยุทธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษ พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ ยกฟ้อง พ.ต.ท.ปัญญา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เหมาะสมหรือไม่เห็นว่า ค่าเสียหายทดแทนที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงินหนึ่งล้านบาทเหมาะสมแล้ว สำหรับค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติยศของโจทก์ในเวลาเกิดเหตุโจทก์มีอายุ 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเคยได้รับ รางวัลนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนดนตรีสยามกุลกานต์ปราจีนบุรีในปี 2547 และเคยสมัครสอบคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจปีการศึกษา 2549 นอกจากนี้แล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงว่าโจทก์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคมการที่โจทก์ถูกกลั่นแกล้งจับกุมดำเนินคดีและซ้อมให้รับสารภาพก็ได้รับความเห็นใจจากสาธารณชน ไม่น่าจะทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์เสียหายมาก การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 300,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว สำหรับความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพของโจทก์ 80,000 บาท เหมาะสมแล้ว

สำหรับค่าเสียหายอันอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงินเนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังนำถุงพลาสติกมาครอบศีรษะโจทก์และรวบปากถุงบริเวณต้นคอให้ปิดสนิท เพื่อไม่ให้โจทก์มีอากาศหายใจ โดยการทำเช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นคนร้ายย่อมทำให้โจทก์ซึ่ง ไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้ มีอาการหวาดวิตกทุรนทุรายตกใจกลัวว่าถึงแก่ความตาย แม้บาดแผลทางร่างกายจะไม่รุนแรง แต่การถูกทรมานดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบทางจิตใจโจทก์เป็นอย่างมาก โดยปรากฏว่าโจทก์ต้องเข้ารับการรักษาทางจิตใจกับสถาบันกัลยาราชนครินทร์ ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจรักษาให้ความเห็นว่าโจทก์มีอาการระแวง มีความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ PTSD โดยมีอาการหวาดกลัวมาก ตกใจง่าย ฝันร้าย รู้สึกเหมือนเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการได้โดยเฉพาะข่าวหรือเหตุการณ์ที่คล้ายกัน มีความรู้สึกกลัวไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเป็นมากกว่า 1 เดือน ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการเข้าสังคม ปัจจุบันอาการดีขึ้นสามารถปรับตัวได้ดีแต่ยังพบร่องรอยความกังวลและความเครียดเกี่ยวกับคดี การได้รับเยียวยาและฟื้นฟูทางด้านจิตใจอย่างต่อเนื่อง เป็นผลประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เพียง 200,000 บาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังน้อยเกินไปสมควรให้ 3,000,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดเป็นเงินทั้งหมด 4,380,000 บาท อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลย ว่า ต้องนำเงินที่ได้จาก ด.ต.พิชิต ชดใช้ให้แก่โจทก์ 4,000,000 บาท หักออกจากค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาทั้งหมดเป็นการคิดค่าเสียหายจากการกระทำทั้งหมดของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งเจ็ด เมื่อปรากฏว่าในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจทั้งเจ็ดต่อศาลจังหวัดปราจีน ในระหว่างการพิจารณา ด.ต.พิชิต เจรจาตกลงกับโจทก์โจทก์และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 4,000,000 บาท โจทก์จึงขอถอนฟ้อง ด.ต.พิชิต และ พ.ต.อ.กลยุทธ์ ดังนี้ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจึงได้รับการชดเชยบางส่วนแล้วเป็นเงิน 4,000,000 บาท จึงต้องนำเงินที่ได้รับการชดใช้มาหักจากค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอากับจำเลยด้วย มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าโจทก์ได้รับชดเชยค่าเสียหายเกินความเสียหายที่แท้จริง ที่ศาลชั้นต้นไม่พิจารณาหักค่าเสียหาย 4,000,000 บาท ออกจากค่าเสียหายที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์จึงไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์รวมเป็นเงิน 4,380,000 บาท เมื่อหักเงินที่ โจทก์ได้รับชดใช้จาก ด.ต.พิชิต 4,000,000 บาท จึงเหลือค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ 380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย

พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน 380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ม.ค. 2552 ถึงวันที่ 10 เม.ย. 2564 และอัตราร้อยละห้าต่อปีนับแต่วันที่ 11 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป ให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตราเจ็ด วรรค 2 บวกด้วย อัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น.