เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่เก่งรอบด้าน สำหรับแร็ปเปอร์ชื่อดัง “URBOY TJ หรือ เต๋า-จิรายุทธ ผโลประการ” ล่าสุดมาเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก เผยปมในใจที่เป็นคนเก็บตัวและมีกำแพง เพราะอดีตเคยเจอเหตุการณ์โดนกลั่นแกล้งและบูลลี่หนัก ตอนนี้ในวัย 31 ปี ยังไม่โหยหาความรัก ขอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่แคร์ใคร ใส่กระโปรงผ้าเช็ดตัวขึ้นเวทีเพราะมีความสุข ฝันอยากมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต ในรายการ WOODY FM แบบจัดเต็ม

URBOY TJ เผยว่า “ผมเกิดมาเพื่อทำสนุกสนาน สำหรับตอนนี้นะครับ รู้สึกว่าตอนนี้อยากที่จะมีความสุข ใช้ชีวิตแล้วแบบไม่เครียดครับ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอยากทำ อะไรก็ได้ที่ตั้งแต่เด็กเคยใฝ่ฝันมาว่าอยากทำ แล้วพอ 30 มีโอกาสได้ทำ แฮปปี้ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป แต่ก็ใกล้เคียงในสิ่งที่อยากเป็น ได้แต่งเพลง ร้องเพลง ใช้ชีวิต สิ่งที่ทำให้มีความสุข ถ้าไม่นับดนตรีนะครับ ก็คงเป็นเพื่อนๆ มั้งครับ เพราะว่าตอนเด็กผมไม่มีเพื่อน คือคนอื่นอาจจะบอกว่า พอยิ่งแก่ขึ้นเพื่อนก็จะน้อยลง สังคมแคบลง แต่ว่าของผมกลายเป็นว่ายิ่งอายุเยอะขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าเราอยากที่จะเปิดมากขึ้น อยากจะไปเจอผู้คนใหม่ๆ อยากจะไปเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ก็เลยกลายเป็นว่าเปิดโลกของตัวเองมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะไม่คุยกับใครเลย ถามคำตอบคำ แต่ว่าตอนนี้มันเริ่มมีการติดต่อ เริ่มมีการถามกลับ เหตุการณ์ที่ทำให้มีกำแพง จริงๆ แล้วตอนที่ผมเรียนมัธยม ผมเป็นคนที่ถูกบูลลี่ตลอดในโรงเรียน เพราะว่าผมเป็นคนที่แปลกจากคนอื่น ผมเรียนต่างจังหวัดพูดตรงๆ ก็คือเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างกันดารอยู่ห่างไกลจากสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งผมรีดเสื้อนักเรียนไปโรงเรียน เขายังบูลลี่เลยว่ามึงรีดเสื้อนักเรียนทำไม เขาไม่เห็นรีดกันเลย ตอนนั้นก็รู้สึกว่าทำไม แล้วก็มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ผู้คนรอบข้างเหมือนคนบ้า เอามีดมาจ่อที่คอในโรงเรียน แบบกูไม่ชอบมึง มึงไม่ควรอยู่ที่นี่ ในตอนที่อยู่มัธยม 1-2 เรื่องนี้ไม่เคยพูดกับใคร ไม่เคยบอกใครเลย”

“ที่เริ่มเก็บตัว หลังจากนั้น ผมก็เริ่มหันไปทางสิ่งที่ทำได้ด้วยตัวเอง คือไม่ต้องพึ่งคนอื่นก็คือทำเพลง ระบายออกมาในเพลง ซึ่งในตอนนั้นช่วง ม.2-3 ก็จะเป็นเพลงใต้ดินมากๆ ที่ค่อนข้างหยาบคาย อะไรที่แสดงความรู้สึก สิ่งต่างๆ ที่เรารู้สึก เหตุการณ์ฝังใจ เหตุการณ์นั้นเลยครับ คืออยู่ในห้องเรียน นั่งเรียนด้วยกันหลายคนมาก หลังจากนั้นก็มีเด็กที่โตกว่า เดินเข้ามาห้อง เหมือนในหนังเลยครับ แล้วก็เข้ามากอดคอถือมีดคัตเตอร์ แล้วก็มาพยายามจะเล่นอะไรอย่างนี้ แล้วทุกคนก็ไม่สนใจ ทุกคนก็หันหนี แกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้ว มันก็ผ่านไปอะไรอย่างนี้ครับ ไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง เพราะว่าไม่อยากให้เขารู้สึกว่าผมใช้ชีวิตที่นี่ไม่ได้ครับ เขาก็จะย้ายผมไปที่อื่น ผมก็ไม่อยากมีปัญหา ผมคิดว่ามันน่าจะอยู่ได้แหละ มันน่าจะมีสิ่งที่เราพอจะทำได้ มันน่าจะโอเค ที่ย้ายเพราะว่าพ่อแม่ผมแยกทางกัน หย่ากัน แล้วก็พ่อแม่เป็นคนที่ย้ายที่ในการใช้ชีวิตบ่อยมาก แม่จะไปทำงานต่างประเทศบ่อย แล้วก็จะย้ายผมไปอยู่กับญาติบ่อย ผมก็จะเปลี่ยนที่เรียนบ่อยๆ เลยทำให้ผมเข้าสังคมไม่ค่อยได้”

นักร้องดัง เล่าต่อว่า “เรื่องรัก ตอนประถมผมเคยชอบเพื่อนคนหนึ่ง แบบว่าเป็นปั๊ปปี้เลิฟแบบน่ารักๆ ประมาณ ป.3-4 ไปชอบคนหนึ่งถ้าผมจำชื่อได้อยากบอกมากเลย แต่ผมจำไม่ได้ เขาเป็นเหมือนนักเรียนที่เรียนดี แล้วก็เป็นคนที่เรียนเก่งในห้อง เป็นคนที่มีเสน่ห์ทุกคนชอบ ผมก็ชอบเขา เป็นรักครั้งแรกในชีวิต น่าจะอายุประมาณจบมหาวิทยาลัยครับ ในตอนนั้นแค่ลองค้นหาสิ่งต่างๆ ผมไม่เคยมีความรักมาก่อน ไม่เคยมีแฟน บางคนอาจจะมีแฟนตั้งแต่มัธยมหรือว่าอะไรแบบนี้ แต่ความรักจริงๆ ของผม ที่เรียกว่าแฟนมันเกิดขึ้นแบบช้ามากๆ แล้ว ในชีวิตสำหรับผมนะครับ ผมรู้สึกว่ามันช้า ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากค้นหาว่ามันคืออะไร ความรักคืออะไร ก็พยายามใช้ชีวิต ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกัน ไปเที่ยวหรือว่าทำสิ่งต่างๆ แต่สุดท้ายมันก็ทำได้ออกมาไม่ดีนัก ก็แยกทางกันไป ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสำคัญกับชีวิตผมเท่าไหร่ เพราะว่าผมไม่ได้โหยหามัน ไม่ได้โหยหามาก เพราะชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว มีสิ่งที่เกิดในหัวเยอะแยะมากมาย ผมก็เลยไม่อยากที่จะหาอะไรมาเพื่อให้มันยุ่งยากไปกว่าเดิม ผมก็เลยไม่ค่อยพูดถึงความรักหรือว่ามีความรัก บางคนอาจจะคิดว่ามีสักคนเข้ามาในชีวิตอาจจะเติมเต็ม ช่วยพากันไปในที่ๆ ดีขึ้น แต่สำหรับผมคิดว่า ผมอยากให้ตัวเองมีความมั่นคงก่อน ที่จะพาใครสักคนมาอยู่ด้วย ตอนนี้ผมรู้สึกว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับผม แค่ความคิดของเรา พออายุ 30 เหมือนผมปล่อยวางกับเรื่องต่างๆ ได้ ผมเข้าใจว่าคนๆ หนึ่ง เกิดมามีคนรักเขา ก็ต้องมีคนเกลียดเขาเป็นธรรมดา เราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกมารักเราได้ ดังนั้นเวลาเราทำเพลงหรือทำอะไรก็ตาม มันก็จะต้องมีคอมเมนต์ที่แบบว่า ฉันไม่ชอบสิ่งนี้ ฉันไม่ชอบคุณ ฉันเกลียดคุณ อะไรประมาณนั้น  ผมค่อนข้างที่จะสนใจผู้คนที่เขาสนใจผม เขารักเราเท่านั้น แล้วมันก็ทำให้มีชีวิตสนุกขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตมากขึ้น”

“ตอนแรกที่ผมดีลกับมันไม่ได้ เหมือนมี 100 คอมเมนต์ 99 อันบอกว่าดีหมดเลย แต่ว่ามี 1 อันบอกว่าฉันไม่ชอบมัน เราก็จะโฟกัสแต่อันนั้นว่าแบบทำไม แล้วก็พยายามหาคำตอบ แล้วก็อยู่กับมันเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน จนตอนนี้รู้สึกว่า โอเค ฉันไม่แคร์ ไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เราสนใจที่ 99 อันที่เขาอยู่กับเราดีกว่า ล่าสุดผมเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ฟังก็คือ ผมใส่ Balenciaga ที่เป็นผ้าเช็ดตัวเล่นคอนเสิร์ต และแน่นอนว่ามันต้องมีคนมาคอมเมนต์ว่า มึงเป็นบ้าอะไร ซื้อผ้าเช็ดตัวราคา 30,000 มาใส่ แบบมันดูเป็นการแต่งตัวที่โง่ แล้วผมก็เรียนรู้จากอันนี้ว่า โอเค ทุกอย่างเกิดขึ้น และผมไม่สนใจว่าคนจะมองยังไง แล้วเราก็มีความสุขที่เราได้ทำแค่นั้นแหละ ผมก็แค่ทำเพราะว่าผมต้องการที่จะทำ มันดีมากจริงๆ นะ เมื่อก่อนเราอาจจะรู้สึกว่า การที่ไม่แคร์เป็นสิ่งที่ไม่ดี มันอาจจะเป็นความคิดที่บางคนใส่เข้ามาให้เรา แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า มันดี มันดีจริงๆ สิ่งที่อยากจะทำ ผมอยากที่จะมีคอนเสิร์ตเดี่ยว คอนเสิร์ตที่แบบว่าเป็นของตัวเอง แล้วก็คนซื้อตั๋วเพื่อที่จะมาดูเรา เมื่อก่อนผมไม่กล้า เพราะผมรู้สึกว่าไม่มีใครอยากมา ต้องไม่มีคนดูแน่เลย แต่สักครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นเป้าหมายของชีวิต ภายในอายุ 30 ปี ผมต้องทำมัน”