หลังฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้อภิปรายกันยาวนานโดยใช้เวลาถึง 3 วัน ผลก็เป็นไปตามคาดคือร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านฉลุยด้วยเสียงรับหลักการ 311 เสียง ไม่รับหลักการ 177 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง

แต่เป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อมี 3 สส.อีสาน “พรรคไทยสร้างไทย” หนึ่งในพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ดูจะแน่นปึ้กกับพรรคก้าวไกลกว่าใครเพื่อน คือ “สุภาพร สลับศรี” สส.ยโสธร “หรั่ง ธุระพล” สส.อุดรธานี และ “อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์” สส.อุดรธานี ลงคะแนนสวนมติพรรค ไปร่วมโหวตเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในครั้งนี้ จนถูกจับตาว่าเป็นงูเห่าสนับสนุนให้พรรครัฐบาลหรือไม่

เดือดร้อนถึง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ” หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ที่อยู่ระหว่างการพักรักษาตัวที่ต่างประเทศต้องออกมาโพสต์ข้อความกราบขอโทษประชาชน ระบุจะเร่งส่งเรื่องให้กรรมการจริยธรรมของพรรคดำเนินการไต่สวนก่อนเสนอกรรมการบริหารพรรคเชือดเป็นการด่วน ขณะที่ “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งพ่อบ้านพรรค เหตุจากคุมเสียง สส.ในสภา ไม่อยู่ พร้อมๆ กับรายงานข่าวว่าพรรคไทยสร้างไทยเตรียมดองเค็ม 3 สส.งูเห่า ไม่ขับไปอยู่พรรคอื่น เพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ ได้อีก อีกทั้งถูกจับตาว่ามีผลประโยชน์ในเรื่องธุรกิจรับเหมาจนยอมโหวตให้ขั้วตรงข้ามหรือไม่

ฟาก “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) มองเหตุ 3 สส.แหกมติพรรคไทยสร้างไทยครั้งนี้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องมติพรรคอย่างเดียว แต่เป็นมติร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย และยอมรับว่ากระทบต่อเอกภาพการทำงานร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งต้องหารือเพื่อขันนอตในเรื่องการทำงานร่วมกันต่อไป

ปรากฏการณ์ครั้งนี้แน่นอนว่าหลายฝ่ายต้องเชื่อมโยงไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกจับตาในเรื่องการพลิกขั้วไปร่วมรัฐบาลมาตลอด แต่เวลานี้ยังเก็บอาการได้ดี โดยโฆษกพรรคก้าวไกล เห็นว่าหากในอนาคตพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคไหนเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องตอบคำถามและชี้แจงกับสังคมเอง

การเมืองหลังจากนี้นับวันจะดุเดือดเผ็ดร้อน ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างต้องฟาดฟันกันพิสูจน์ฝีมือการทำงานเพื่อครองใจประชาชนให้ได้ อย่างไรก็ตามกรณี 3 สส.ไทยสร้างไทยแหกมติพรรคและวิปฝ่ายค้านครั้งนี้ นอกจากสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพในการทำงานที่ต้องมาร่วมกันเป็นฝ่ายค้านแบบจำยอม ยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงพรรคก้าวไกลให้เตรียมใจในการถูกโดดเดี่ยวลอยแพจากพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน จนในอนาคตอาจต้องลุยเดี่ยวในสภาหรือไม่.