เมื่อวันที่ 25 ม.ค. เวลา 10.25 น. ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมาถึงรัฐสภาเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ สส. เป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566 ในคดีถือหุ้นสื่อไอทีวี และต่อมาวันที่ 24 ม.ค. ศาลฯ ได้มีมติ 8:1 วินิจฉัยให้สมาชิกภาพ สส. ของนายพิธาไม่สิ้นสุด และไอทีวีไม่ใช่ธุรกิจสื่อมวลชน ส่งผลให้นายพิธาสามารถกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ สส. ได้ทันที ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาแฟนคลับมารอต้อนรับบริเวณหน้าโถงทางเข้า ตลอดจน สส.พรรคก้าวไกล และกองทัพสื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอติดตามทำข่าวอย่างเนืองแน่น

เมื่อถามว่า มีข้อควรระวังอะไรให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อจะแนะนำ และยังเชื่อว่ามีวาระเพื่อประชาชนอีกมากมาย โดยไม่ต้องคำนึงว่ามาจากพรรคไหน เช่น เรื่องสมรสเท่าเทียม หรือเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด เราเชื่อว่ายังทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้

เมื่อถามว่า จะมีการจับตาโครงการแลนด์บริดจ์เป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงที่ตนถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตนได้สังเกตว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ ได้แก่ 1. ดิจิทัลวอลเล็ต 2. โครงการแลนด์บริดจ์ 3. ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ จะต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร

เมื่อถามว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของพรรคก้าวไกลในการตรวจสอบรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนมีความเห็นว่าประชาชนเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้า ซบเซามาเป็นเวลานาน ธนาคารกสิกรวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจอาจจะโตช้าในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลในชุดปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามาบริหารเพียง 6 เดือน แต่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเมืองไทยที่สูญหายมากว่า 10 ปี และไม่มีการปรับโครงสร้าง ทำให้เราโตช้ามาก แต่ขณะเดียวกันตนกังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาว ทำให้ไม่มีพื้นที่การคลังในการแก้ไขปัญหาระยะยาว หรือพื้นที่ในแบบอื่นก็ไม่ได้เป็นทางที่เหมาะสม

“เพราะฉะนั้นอยากชวนรัฐบาลคิดแผน 2 ในกรณีสิ่งที่หาเสียงมา ที่ไม่ผ่าน อยากให้ลองคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกรายละเอียดและโครงการเล็กๆ พอมาทำรวมกัน พลังเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลฯ จากบนลงล่างอย่างเดียว ล่างขึ้นบนก็อาจจะสามารถช่วยให้ตรงจุด เมื่อมารวมกันก็จะเกิดเศรษฐกิจที่ดีเช่นเดียวกัน และประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องกู้ และไม่ต้องสร้างภาระการคลังเพิ่มขึ้น พอมาอภิปรายงบประมาณก็จะน้อยลงทุกปีๆ” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่าศาลรัฐธรรมนูญยังมีกรณีที่ค้างการพิจารณาอยู่ จะเป็นหัวเชื้อให้เกิดอุบัติของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ความรู้สึกก็คงจะเหมือนกับคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้และไม่ได้ อะไรที่ควบคุมได้เราทำเต็มที่ จึงทำให้เรามั่นใจ

เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านมั่นใจหรือไม่ว่านายกฯ จะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าเวลาที่จะคาดหวังอะไรกับใคร ก็ต้องนำมาใช้กับตัวเองด้วย วันหนึ่งที่เราเข้าไปเป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ ก็ต้องกลับเข้ามาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ก็หวังว่าถ้าเป็นบรรทัดฐานที่วางไว้ให้กับตัวเอง ก็จะคาดหวังสิ่งนี้กับคนอื่นเช่นเดียวกัน

เมื่อถามว่าในใจเล็งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลช่วงไหน นายพิธา กล่าวว่า ถ้าตอบเขาก็รู้หมด ตอนนี้มีข้อมูลเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลฯ และการลงพื้นที่ก็จะมีคนนำข้อมูลมาให้ในเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติมิชอบ เรื่องคอร์รัปชั่น ความล้มเหลวในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็จะเตรียมข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะดูจังหวะอีกที เพื่อความเหมาะสมว่าจะใช้บาซูก้าเลยหรือจะใช้แค่แนวรบแบบ 151 152 คงต้องดูจังหวะอีกครั้ง ยืนยันว่าการทำงานของฝ่ายค้านล้มรัฐบาลอย่างเดียว แต่เพื่อเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและภาษีของประชาชนเป็นหลัก

เมื่อถามว่ากลับมาครั้งนี้จะสร้างสีสันให้สภาในการเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงเอาสาระเป็นหลัก สีสันเป็นรอง เพราะหมดเวลาทำการเมืองแบบวาทกรรมฉาบฉวย เน้นการทำงานลงลึก และทำงานเรื่องสาระ ที่สำคัญเราจะทำให้เรื่องที่เป็นสาระ แล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างไร ถือเป็นศิลปะของคนเป็นผู้แทนฯ ที่จะนำเอาเรื่องยากๆ เช่น ญัตติ AI ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ มันเกี่ยวข้องกับชาวบ้านและคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างไร ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะต้องใช้ศิลปะในการนำเสนอ สาระย่อมสำคัญกว่าวาทกรรม

ทั้งนี้ ก่อนที่นายพิธาจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เข้าสภารอบนี้ ไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวติดตลกว่า “ถ้าจะออก ก็ออกไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว”