หรือแม้แต่วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชีย หรือนักท่องเที่ยวจากยุโรป เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย อย่างน้อย…ก็ต้องมาสัมผัสให้ได้ แต่…มาวันนี้ สถานการณ์ที่เคยแน่น ที่เคยแออัด กลับบางตา!! พอจะมีให้เห็นบ้าง ก็ประปรายส่วนทางกับช่วงปี 2562 ที่จีนทำสถิตินิวไฮที่ 11 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินมางเข้าไทย 40 ล้านคน  ครองแชมป์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากสุดในเวลานั้น

เพื่อตอกย้ำว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของคนจีนและเพื่ออำนวยความสะดวกให้คนทั้งสองชาติสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่ายยิ่งขึ้น รัฐบาลไทย-จีน จึงได้บรรลุข้อตกลงยกเว้ยการยื่นวีซ่าเป็นการถาวร จนเป็นที่มาของการลงนามในพิธีความตกลงและเอกสารสำคัญไทย-จีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการหรือวีซ่า-ฟรี ถาวร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.นี้

นโยบายนี้…ถือว่าเป็นมาตรการที่ต่อเนื่องจากมาตรการเว้นการยื่นวีซ่าหรือวีซ่า-ฟรี เป็นการชั่วคราว ให้กับนักท่องเที่ยวจีน ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วและกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 ก.พ.67 

โจทย์ท้าทายท่องเที่ยวไทย

เรียกได้ว่า..เป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยที่จะดันนักท่องเที่ยวจีนกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้ รัฐบาลได้ให้การบ้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาให้ได้ 80% ของปี 2562 ทั้งในแง่รายได้และจำนวน หรือคิดเป็น 8 ล้านคน นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายหากเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดจีนปิด 3.51 ล้านคน ต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลได้คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดตลาดยอดตลาดจีนได้อย่างน่าพอใจที่ 4.1-4.4 ล้านคน แต่ก็ไปไม่ถึงแม้จะคลอดมาตรการน้อยใหญ่ รวมไปถึงการยกเว้นวีซ่า-ฟรี เป็นการชั่วคราว ให้มีผลตั้งแต่ 25 ก.ย.  2566 ไปจนถึง 29 ก.พ. 2567   อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่รัฐบาลประกาศล่าสุด เป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากช่วงต้นปี 2566 จากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ททท. คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ก.พ. ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีน 7-8 ล้านคน 

วิกฤติเศรษฐกิจจีนเสี่ยง

หลังในปีที่ผ่านมาจีนต้องประสบปัญหาทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อัตราว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ตกต่ำ ค่าเงินอ่อน อีกทั้งยังมีวิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศทั้ง บริษัทคันทรี่การ์เด้น และบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ประสบปัญหาหนี้สินขั้นรุนแรง  วิกฤติเศรษฐกิจภายในของจีนส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการใช้จ่ายเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนที่ลดลง และส่งผลข้างเคียงมายังเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28%  ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในประเทศไทย และยังผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งมีผลกระทบที่ส่งผ่าน 3 ช่องทาง คือ  ผลกระทบจากกำลังซื้อของชาวจีนที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนต่อจีดีพีของจีนค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่ มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าที่มิใช่สินค้าจำเป็น

นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าวัตถุดิบที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีเพียงบางรายการ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ (เช่น เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง) และเม็ดพลาสติก ซึ่งมีจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 มีสัดส่วน 18% และ 29% ตามลำดับ ขณะที่สินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องกับภาคการก่อสร้าง เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เครื่องจักรกลที่ใช้ในการก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยไปจนถึงน้อยมาก เนื่องจากจีนไม่ใช่ตลาดส่งออกหลัก

เสียภาพลักษณ์เรื่องปลอดภัย

อีกโจทย์ความท้าทายของการท่องเที่ยวคือการเร่งสร้างภาพลักษณ์เพื่อกลบข่าวเชิงลบที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา หลังภาพยนตร์จีน 2 เรื่องดัง อย่าง No More Bets และ Lost in The Stars ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับอาชญากรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกฉายในจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนกังกลต่อความปลอดภัยต่อภูมิภาคนี้ งานนี้ทำเอาผู้ประกอบการท่องเที่ยวกุมขมับ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดตั้งศูนย์บริหารข่าวสารเพื่อตอบโต้เฟคนิวส์ที่แพร่แรงและเร็วเกินต้าน

อย่างไรก็ตาม…ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกหลังไม่กี่เดือนถัดมาเกิดเหตุกราดยิงกลางห้างดังใจกลางเมืองที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเมื่อเดือน ต.ค. ตอกย้ำความไม่ปลอดภัยต่อการท่องเที่ยวไทยซ้ำเติมเข้าไปอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำเอาโลกโซเชียลจีนวิจารณ์สนั่น  ภาครัฐและเอกชนในไทยที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเยียวยาแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มกำลัง  เมื่อความมั่นต่อเสถียรภาพความปลอดภัยต่อการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเป็นแรงจูงใจต่อการเดินทางเข้ามาเที่ยวไทย ถือเป็นโจทย์หินที่รัฐบาลต้องเร่งเครื่องเต็มสูบ ประเคนยาแรงเพื่อดึงความเชื่อมั่นกลับมาให้เร็วที่สุด

เร่งสร้างความเชื่อมั่นหนัก

เมื่อช่วงเดือนธ.ค. 2566 ททท. ได้ลงนามในบันทึกความร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงหรือแอลโอไอ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับ 8 พันธมิตรบริษัทชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการจับมือกับสายการบินของจีน เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างรอบด้าน รวมทั้งยกระดับมาตรฐานความความปลอดภัยเพื่อนำไปสู่ความมั่นใจในการเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในระยะยาว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11-15 ธ.ค. ทาง ททท. ร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จัดโรดโชว์ส่งเสริมการขายในประเทศจีน ขนทัพผู้ประกอบการไทยกว่า 70 ราย พบปะเจรจาธุรกิจกับเอเย่นต์ในจีนกว่า 800 รายจาก 2 เมืองใหญ่ เซี่ยงไฮ้และเฉิงตู ซึ่งต้องจับตาสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดกรุ๊ปทัวร์ว่าจะกลับมามากน้อยแค่ไหนในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 หลังพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมเดินทางด้วยตัวเองหรือเอฟไอทีมากขึ้น

ขนสื่อ-อินฟลูฯท้าพิสูจน์

นอกจากนี้ ททท. ได้จัดแฟมทริปดึงสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนกว่า 120 ราย เดินทางมาไทยตั้งแต่วันที่ 21-28 ธ.ค. โดยนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ ทั้งเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ และเสริมสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว มุ่งนำเสนอภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงบวกของประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวและกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ต่อเนื่องตลอดปี 2567

ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 ททท. ได้มีการไลฟ์สดขายสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวของไทยไปทั่วประเทศจีน  ผ่านแพลตฟอร์มซีทริป พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีน เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย นำเสนอดีลสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งส่วนลดสายการบิน โปรโมชั่นที่พัก แพ็กเกจท่องเที่ยว แจกบัตรกำนัลแทนเงินสด เพื่อโปรโมตประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มตลาดเป้าหมายหลักและเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งด้านรายได้ และขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวชั้นนำและสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

มาจนถึงเวลานี้ โจทย์สำคัญของรัฐบาล คือ การส่งเสริมเที่ยวบินเมืองรองของทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันให้นักท่องเที่ยวจีนไปถึงเป้าหมายที่วาดฝันไว้ ที่ 8 ล้านคน หากไม่มีมาตรการช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับสายการบินหรือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวให้เทียบเคียงกับเมืองหลักได้ เชื่อว่ามาตรการวีซ่าฟรี ที่ออกมาอาจไร้ประโยชน์ก็เป็นไปได้

ยอดซีทริปเพิ่ม 7 เท่า

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. บอกว่า การทำวีซ่าฟรีระหว่างไทยและจีนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การลงทุน การค้า และตอกย้ำพร้อมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ โดยผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้กล่าวย้ำว่าไทยจีนเป็นเหมือนพี่น้องกัน รวมถึงปี 68 ยังเป็นวาระโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะร่วมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทยจีนอีกด้วย

“จากข้อมูลพบว่า หลังการประกาศฟรีวีซ่าไทย-จีน ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ พบว่า มีการสืบค้น แหล่งข้อมูลท่องเที่ยวของไทย บน Ctrip เพิ่มกว่า 7 เท่า และ สถานที่ที่ถูกหามากสุด 5 อันดับแรกได้แก่ กรุงเทพ-ภูเก็ต-เชียงใหม่-เกาะสมุย-พัทยา โดยพื้นที่ที่มีการค้นหาเกี่ยวกับประเทศไทยมากที่สุดในวันที่ 28 ม.ค. 67 บน Ctrip ได้แก่ 1.เซี่ยงไฮ้ 2.ปักกิ่ง 3.กว่างตง (เมืองหลัก กว่างโจว เซินเจิ้น) 4.เจ้อเจียง (เมืองหลัก หางโจว หนิงโป) 5.เจียงซู (เมืองหลัก หนานจิง ซูโจว) 6.ซื่อชวน หรือคนไทยเรียก เสฉวน (เมืองหลัก เฉิงตู) 7.ซานตง (เมืองหลัก ชิงเต่า) หากดูอัตราการเข้ามาท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวจีนในแต่ละวัน ขณะนี้เพิ่มขึ้นมาแตะกว่า 20,000 คนต่อวันแล้ว โดยข้อมูลล่าสุดมีชาวจีนเข้ามา 21,487 คน ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวชาวจีนแล้ว 444,702 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากของภาคการท่องเที่ยวไทย”

จีนเที่ยวไทยแตะ 8 ล้านคน

“อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์” เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) บอกว่า การยกเว้นวีซ่าถาวร ระหว่างไทยและจีน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. นี้ ถือเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการวีซ่าฟรีชั่วคราวที่จะสิ้นสุดในวันที่ 29 ก.พ. 67 ซึ่งพบว่าเวลานี้ยอดการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับไทยของจีนบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ และจากมาตรการยกเว้นการยื่นวีซ่าแบบถาวรนี้มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวจีนจะถึง 8 ล้านคนได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจากขณะนี้มีสายการบินจีนกลับมา 6,000 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คิดเป็น 89% ของเที่ยวบินปี 62 เพราะการวีซ่าฟรีถาวรของทั้งสองฝ่ายจะทำให้โอกาสทางธุรกิจของสายการบินมีสูงที่เพิ่มเที่ยวบินตามไปด้วย 

อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับมาตรการที่จะมารองรับและสนับหลังประกาศวีซ่าฟรีด้วย เช่น จะทำอย่างไรให้สายการบินอื่นๆ เพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น แต่ขณะนี้ตารางเที่ยวบินจากเมืองหลักของจีนเข้าเมืองหลักของไทยมีข้อจำกัดเกือบแล้ว ทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ดังนั้นหากอยากดึงสายการบินจากเมืองรองของจีนเข้าเมืองรองของไทยแน่นอนว่ามีความเสี่ยงสายการบินจะยอมหรือไม่ สิ่งที่ควรทำคือรัฐบาลต้องออกมาตรการสนับสนุนสายการบินหรือผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาร่วมมือกันในการทำแคมเปญจากตลาดจีนเข้ามา เช่น บินเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยแล้วนั่งรถไฟจีน-สปป.ลาว กลับ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน แตะที่ 8 ล้านคน ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ

ผู้โดยสาร-เที่ยวบินเพิ่ม 202.6%

“กีรติ กิจมานะวัฒน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ย้ำว่า   ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 5-14 ก.พ.นี้ คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของทอท. กว่า 3.52 ล้านคน โดยขณะนี้มีสายการบินเฉพาะเส้นทางจีนแจ้งขอทำการบิน ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. รวมกว่า 3,086 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 202.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณผู้โดยสาร 458,813 คน เพิ่มขึ้น 220.2% โดยท่าอากาศยานที่แจ้งขอทำการบินมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1,799 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 193.4% ผู้โดยสาร 282,982 คน เพิ่มขึ้น 224.6% รองลงมาคือ ท่าอากาศยานดอนเมือง 662 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 366.5% ผู้โดยสาร 88,074 คน เพิ่มขึ้น 328.5% และท่าอากาศยานภูเก็ต 497 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 167.3% ผู้โดยสาร 69,342 คน เพิ่มขึ้น 170.1%

นอกจากนี้ ทอท.เตรียมพร้อมรองรับผู้โดยสารชาวจีนจากนโยบายวีซ่าฟรีแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ และจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดด้านการบิน เช่น ส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ส่วนลดค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน ซึ่งในปี 67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน.

ทีมเศรษฐกิจ