นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายทองคำของประเทศไทยอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท ต่อวัน ถือเป็นมูลค่าการซื้อขายอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 1 ของอาเซียน โดยมูลค่าการซื้อขายดังกล่าว มาจากทองคำกายภาพรวม 35% และการซื้อขายทองคำดิจิทัลผ่านระบบออนไลน์ 65% ซึ่งเป็นการซื้อขายเพื่อการลงทุนเงินลงทุน เริ่มต้นเพียง 100 บาท

ขณะเดียวกันพบว่ามูลค่าการซื้อขายทองคำในระบบออนไลน์ ยังมาจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) โดยมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันประมาณ 1.4 แสนล้านล้านล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดฟิวเจอร์ส เป็นการเข้าถึงการเทรดในตลาดระดับโลก ที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนฟิวเจอร์สอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐ ที่มีสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกครอบคลุม ทองคำ น้ำมันดิบ ดัชนีหุ้นสหรัฐ สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง อีกทั้ง สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชม. ไม่เว้นวันหยุด 

สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดทองคำในปีนี้ ระยะสั้นมองว่ายังเป็นการแกว่งตัวลง ทดสอบระดับต่ำสุดเดิมของเดือน ธ.ค. 2566 ที่ระดับ 1,973 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มมีสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายช้าลง จากเดิมที่ตลาดคาดว่าจะลดลงไตรมาสแรก ออกไปเป็นไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้ทองคำได้รับแรงกดดัน โดยภาพระยะยาวในปี 67 มองแนวรับแรกไว้ที่โซน 1,902-1,884 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปในโซน 1,804-1,764 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าแนวรับแรกราคามีโอกาสยืนได้ โดยมองว่าช่วงครึ่งหลังของปี จะกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก และหากราคาปรับตัวผ่านระดับ 2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,144 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากทำระดับสูงสุดใหม่ขึ้นไปได้ รอบนี้แนวต้านถัดไปมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึงบริเวณ 2,200-2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

“ช่วงที่ราคาแกว่งตัวลงในช่วงนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าเก็บเพื่อถือยาว สามารถทยอยซื้อสะสมได้ เพื่อรอขายช่วงขาขึ้นได้ แต่สำหรับนักลงทุนเก็งกำไร สามารถทำได้ 2 แบบ คือ เก็งกำไรทองคำผ่านระบบออนไลน์ หรือ การเก็งกำไรผ่านตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งส่วนนี้ จะสามารถทำได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง”