หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในปี 66 พบว่า กำไรสุทธิมีทั้งปรับลดลงจากการเข้าไปลงทุนใหม่แล้วยังไม่รับรู้รายได้ และต้นทุนเพิ่มขึ้นตามทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่หุ้นบางตัวมีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นของค่ าFt

  • บ้านปู เพาเวอร์ มีกำไรสุทธิ 5,319 ล้านบาท ลดลง 7% เนื่องจากได้รวมผลขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของอนุพันธ์ทางการเงินจำนวน 807 ล้านบาท ตามสัดส่วนการลงทุน
  • บีซีพีจี มีกำไรสุทธิ 872.6 ล้านบาท ลดลง 57.8% จากธุรกิจโรงงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยลดลง ธุรกิจพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ลดลง และไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพจากอินโดนีเซีย เป็นต้น
  • ซีเค พาวเวอร์ มีกำไรสุทธิ 1,462 ล้านบาท ลดลง 40% จากส่วนแบ่งเงินลงทุนใน XPCL ลดลง จากปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง และต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ย รายได้จากการขายไฟฟ้า NN2 ลดลง
  • โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ มีกำไรสุทธิ 3,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 314% จากกำไรโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากปัจจัยค่า Ft ทำให้ราคาขายไฟฟ้าปรับขึ้นช้ากว่าราคาต้นทุนพลังงานที่พุ่งขึ้นอย่างมาก และราคาต้นทุนพลังงานลดลง
  • กัลฟ์ มีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 14,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง, โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศโอมาน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา
  • อีเอ มีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 7,606.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.02% เนื่องจากระหว่างปี 66 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากรายได้พิเศษอื่น
  • ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,631.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 259.2% จากการปรับขึ้นของค่า Ft ที่สะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ทำให้รับรู้กำไรจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น