เริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันที หลังจาก “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (อีเอ) ประกาศลงสมัครประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คนที่ 17 ต่อจากนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. คนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระลงสมัยแรก ปี 65 – 66  และเตรียมที่จะเข้าสู่การสมัครเลือกตั้งวาระที่ 2 ปี 67- 68 จากที่ผ่านมาการชิงประธานส.อ.ท. จะมีการเจรจากันนอกรอบว่า ประธานเดิมจะต่ออายุหรือไม่ เพื่อทำให้การเลือกตั้งประธานส.อ.ท. ไม่มีความขัดแย้ง เนื่องจากที่ผ่านมาย้อนไปปี 55 และปี 57 การเลือกตั้งของส.อ.ท. เคยมีภาพความขัดแย้งในการเลือกตั้งที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ระยะหลังจึงใช้วิธีการเจรจากันนอกรอบ เพื่อให้เหลือ 1 ทีมเท่านั้น      

วันนี้ 29 ก.พ. ที่ตึกเอเอไอ ถนนรัชดาภิเษก บนชั้น 16 สถานที่ตั้งบมจ.อีเอ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (อีเอ) จึงใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวเปิดตัว ซึ่งมีกองทัพสื่อทั้งทีวี นสพ. ออนไลน์ ต่างแห่ไปทำข่าวเป็นจำนวนมาก จนทำให้ห้องแถลงข่าวล้นทะลักออกมาห้องข้างนอก โดยนายสมโภชน์ อาหุนัย เปิดเผยว่า ผมขอประกาศถึงเวลาที่จะเข้ามานำทัพภาคอุตสาหกรรมขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะป่วย แม้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตเกินเยียวยาให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยผมจะส่งต่อประสบการณ์ดีๆ ที่สั่งสมให้สมาชิกนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของตัวเองให้สามารถพ้นผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ได้เป็นประธานฯ แต่ถ้ามีคนนำเอาไอเดียที่ผมเสนอไปทำก็ดีใจแล้ว และไม่เหนื่อยด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมถูกทาบทามมาแล้วหลายรอบ แต่ผมก็ต้องปฏิเสธไป เนื่องจากไม่มีเวลา แต่การลงสมัครครั้งนี้ ผมมีความพร้อมมาก   

ทั้งนี้คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอความคิดเห็นเชิงรุกเพื่อส่วนรวมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและแข็งแรง ไม่ต้องรอให้สถานการณ์ย่ำแย่ก่อนจึงคิดแก้ไข โดยส.อ.ท. จะเป็นตัวกลางรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกไปนำเสนอรัฐบาล และนำนโยบายของรัฐบาลมาถ่ายทอดให้สมาชิกช่วยกันขับเคลื่อน โดยไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะเข้ามาทำให้เกิดความแตกแยกในองค์กร เพราะหมดยุคที่จะมาสาดโคลนใส่กัน มีแต่จะมานำเสนอสิ่งที่จะทำให้องค์กรพัฒนาดีขึ้น เพราะขณะนี้มีบางอุตสาหกรรมที่กำลังล้มหายตายจากไป เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก

” ผมจะเข้ามาทำงานเชิงรุก อยากให้ทุกคนก้าวไปด้วยกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เพราะไม่ได้ต้องการเข้ามาเป็นนายใคร ผมมีแต่จะลงไปขอร้องให้สมาชิกช่วยกันทำ คงไม่รอให้มะเร็งลุกลามกลายเป็นขั้นที่ 4 แล้วจึงมาคิดรักษา การแก้ปัญหาต้องใช้มืออาชีพ มีประสบการณ์ และยอมเสียสละ ไม่ยึดถือประโยชน์ส่วนตัว ผมจึงคิดว่าจังหวะนี้มีความเหมาะสม คงรออีกไม่ได้ ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนนโนบายของ ส.อ.ท.ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงต้องมีการบูรณาการมากขึ้นเพื่อให้เป็นทีมไทยแลนด์อย่างแท้จริง ผู้ประกอบการทุกคนมีความรู้ความสามารถ แต่ยังไม่มีโอกาสนำเสนอต่อส่วนรวม ส.อ.ท.จะเป็นเวทีในการแก้ปัญหาให้หมดไป ไม่วนอยู่ในอ่างต่อไป”

นายสมโภชน์ นำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าว่า เมื่อไม่สามารถปรับลดราคาได้ก็ต้องเร่งส่งเสริมให้มีผู้ใช้เพิ่มขึ้น โดยเล็งไปที่กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาล เมื่อมีความต้องการใช้เพิ่มราคาต่อหน่วยจะถูกลง และกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ หากเห็นนโยบายที่ชัดเจน

“การแก้ปัญหาต้องทำให้เกิดความสมดุลย์ ไม่มีใครเสียประโยชน์จนไม่เป็นธรรม ต้องคุยกันให้รอบด้าน ใครเชื่อความคิดผมก็ถือว่าสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว หากเห็นว่าผมทำได้ก็ยินดีรับตำแหน่ง แต่หากเห็นว่าคนอื่นเหมาะสมกว่า ผมก็พร้อมสนับสนุน เป็นผู้ตามที่ดี เพราะเป็นสมาชิกคนหนึ่ง มันไม่ใช่การแข่งขัน เป็นการเสนอไอเดียดีๆ” นายสมโภชน์ กล่าว

ทั้งนี้ผมยืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร ยังให้ความเคารพรักกับคณะผู้บริหารชุดเก่าเช่นเดิม แต่เสนอตัวเข้ามาทำหน้าที่ในเชิงสร้างสรรค์ ทุกคนเป็นพี่น้องกัน พร้อมสนับสนุนทุกคน และยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา

อย่างไรก็ตามกรณีถ้ามีผู้มาตรวจการทำงานของผมในเรื่องอะไร ผมก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบในทุกเรื่อง และพร้อมตอบคำถามในเรื่องอย่างแน่นอน

ส่วนที่มองว่าควรปล่อยให้คณะกรรมการชุดเดิมบริหารงานต่ออีกสมัยหนึ่งนั้นคงไม่ได้เป็นวัฒนธรรมตายตัว เพราะในอดีตก็มีคณะกรรมการที่เข้ามาบริหารงานเพียงสมัยเดียว เรื่องนี้คงต้องยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก คงไม่รอเวลาอีก 2 ปี แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับสมาชิกที่มีคนละ 1 เสียงเท่ากัน

“ตอนนี้รวมวงแล้วแต่ยังเล่นเพลงไม่เพราะ จึงต้องมีผู้ควบคุมวงคอยบอกว่าใครควรเล่นดัง ใครควรเล่นเบา เพื่อให้ออกมาเป็นเอกภาพ หากได้รับเลือกเป็นประธานฯ จะเซ็ตซีโร่ไม่ให้มีการแบ่งกลุ่มว่าใครเป็นพวกใคร หากเริ่มต้นการทำงานด้วยเนื้อหาก็คิดว่าจะไม่เกิดความแตกแยก โดยส่วนตัวผมไม่มีความขัดแย้งอะไรกับคุณเกรียงไกร พบหน้ากันก็สวัสดีกันตามปกติ ยังเคารพกันเช่นเดิม