เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มี.ค.67 ที่รัฐสภา นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงถึงการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 27-29 ก.พ. ที่ผ่านมาว่า ตนไม่แน่ใจว่านายกฯ ตั้งใจหรือจงใจไปหรือไม่ แต่เป็นหมุดหมายที่ดี เพราะวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบการลงนามในเอกสารฉันทามติว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพ เมื่อ 11 ปีที่แล้วที่กัวลาลัมเปอร์ ดังนั้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ. จึงมีความหมายสำคัญในทางการเมือง และพัฒนาการของการแก้ไขปัญหาในการสร้างสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นตนอยากจะสื่อสารไปถึงคนอย่างน้อย 3 คนในรัฐบาลชุดนี้ คือ 1. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี  2.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และ 3.นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะทั้ง 3 คน มีบทบาทสำคัญในการที่จะให้คำแนะนำและกำหนดจังหวะทิศทางของรัฐบาลนายเศรษฐาต่อความขัดแย้ง สถานการณ์ความไม่สงบและการสร้างสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“ที่ผมต้องพูดถึงนายทักษิณ เพราะเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีการลงนามในเอกสารดังกล่าว นายทักษิณมีบทบาทสำคัญในการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกรุยทางความเป็นไปได้ในการเปิดหน้าพูดคุยอย่างเปิดเผย  แต่ที่น่าสังเกตว่าการเดินทางลงพื้นที่ของนายเศรษฐาครั้งนี้ ภาพรวมเน้นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง และการท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นตรงกันว่าต้องมีการพัฒนา นายกฯพูดซ้ำตลอดเวลาในระหว่างการลงพื้นที่ คือ เรื่องความเสมอภาค ความเท่าเทียม และเรื่องโอกาสแต่สิ่งที่ขาดไปคือความยุติธรรม ซึ่งถือเป็นแกนกลางในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายกฯ ยังไปไกลถึงขนาดพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เรียกร้องให้ประชาชนในพื้นที่อดกลั้น และอ้างถึงสถานการณ์ว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะเข้าสู่เดือนรอมฎอน และเรียกร้องให้ประชาชนยกโทษให้กันและกัน ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่นายกฯ พูดถึงหมายถึงเรื่องอะไร ไม่แน่ใจว่าท่านนึกถึงเหตุการณ์ตากใบเกือบเมื่อ 20 ปีที่แล้วหรือไม่ เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน และเป็นบาดแผลสำคัญ ถ้าเรามีวิธีการจัดการกับความเจ็บปวดอย่างนี้ แต่ถ้านายกฯ คิดอย่างนั้นจริงๆ ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะความเสมอภาค การเท่าเทียม และเรื่องการแสวงหาโอกาสในทางเศรษฐกิจอาจะไม่มีความหมายเลย ถ้าปมในใจพี่น้องประชาชนยังมีอยู่ ซึ่งจะต้องมีความยุติธรรม หนึ่งในนั้นคือการพูดคุยสันติภาพ” นายรอมฎอน กล่าว

นายรอมฎอน กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่านายเศรษฐายังไม่ให้ความใส่ใจในการแก้ปัญหา คือ บรรยากาศในการแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และกลุ่มต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งปัญหาความขัดแย้งใจกลางคือเรื่องการปกครองที่ชอบธรรม เราไม่สามารถที่จะควบคุมจากกรุงเทพฯ แต่ต้องมีการแบ่งอำนาจไป ฟังเสียงประชาชน แนวทางแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต้องนั่งลงคุยกัน ว่าเราจะปรับโครงสร้างการปกครองที่ชอบธรรมและคนยอมรับได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่นายเศรษฐาละเลย แต่มุ่งไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจ และจะเห็นว่ามีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 ครั้ง แต่รัฐบาลนี้ยังไม่แตะกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว แล้วประเทศจะพัฒนาตามที่นายกฯ ตั้งใจไว้ได้อย่างไร  หากยังมีกฎอัยการศึกอยู่ นายกฯ ต้องแสดงเจตจำนงที่แน่วแน่

“ขอเตือนนายเศรษฐาว่าต้องทบทวนสถานการณ์ภาคใต้ใหม่ ถ้าท่านดูเบาสถานการณ์เกินไปและมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงดูสถานการณ์อย่างเดียว ผมเกรงว่าในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร ที่เป็นผู้นำพลเรือน เกรงว่าท่านจะตัดสินใจในทางการเมืองผิด ดังนั้น นายกฯ ควรจะเรียงลำดับการแก้ปัญหาเสียใหม่” นายรอมฎอน กล่าว.