เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค และอดีตรมว.ศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร ผอ.พรรค อดีต รมช.คลัง นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ และกรรมการบริหารพรรค  และ สส.พปชร.​ภาคอีสาน เดินทางจากด่านชายแดนฝั่งไทยข้ามสะพานไทย-ลาว ไปยังทำเนียบรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อพบปะ นายสอนไซ  สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว โดยมี รมว.เกษตรและสิ่งแวดล้อม รมว.สาธารณสุข รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี รมช.ต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ระดับสูง สปป.ลาวให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร ได้หารือกับนายสอนไซ  นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ว่า สปป.ลาว และประเทศไทยมีความสัมพันธ์เป็นบ้านพี่เมืองน้องมาช้านาน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามาตามลำดับ โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือ กับ สปป.ลาว ทุกๆ ภาคส่วน มาอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ ตนขอแสดงความยินดี ในการทำหน้าที่ประธานอาเซียน ของ สปป.ลาว ในปี 67 นี้ โดยตนพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ๆ จะพัฒนาความร่วมมือในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

“การเดินทางมาเยือน สปป.ลาว ของผม และผู้บริหารพรรค ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จะได้ร่วมหารือ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน ในการพัฒนาความร่วมมือด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคต เพื่อรองรับการพัฒนา และการส่งเสริมด้านเกษตรกรรม การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และการค้าในภูมิภาคในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายสำคัญในการดูแลรักษาป่าไม้ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาฝุ่นควัน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วน ที่เราจะต้องร่วมมือกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันเพื่อส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งการป้องกัน ควบคุมมลพิษ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการจัดการสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทย และ สปป.ลาว ต่างมุ่งเน้นยกระดับการดำเนินการในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยฝ่ายไทย ยินดีสนับสนุน และแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายร่วมกัน อันจะเป็นประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

“ในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้หารือในประเด็นต่างๆ ร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยและ สปป.ลาวจะดำรงความต่อเนื่องในความร่วมมือต่อกันให้ทัังสองประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไป“ พล.อ.ประวิตร กล่าว

ด้านนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้กล่าวยินดีต้อนรับคณะพรรคพปชร. ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค ที่ได้เดินทางมาเยือน สปป.ลาวในครั้งนี้  เนื่องจาก 2 ประเทศอยู่ติดกัน มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน  ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนชาวไทยมาลงทุนใน สปป.ลาวเป็นอันดับ 2 และยังคงเดินหน้าที่จะทำความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การบริการ การท่องเที่ยว คมนาคม ของทั้ง 2 ประเทศ โดย สปป.ลาวมีแนวทางเช่นเดียวกับไทยที่จะพัฒนาสังคมสีเขียวให้เกิดขึ้น  ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแล พปชร.ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้บริหารราชการผ่านกลไกการทำงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง   

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล สปป.ลาว พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นในทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการส่งออก และนำเข้าสินค้าเกษตร  การควบคุมโรคระบาดในสัตว์ รวมถึงปัญหาหมอกควัน ที่ สปป. ลาว ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับไทย ที่ภาคการเกษตรยังมีการเผาเพื่อกำจัดวัชพืช ซึ่งถือว่าปัญหาดังกล่าวนับเป็นวาระสำคัญของทั้งสองประเทศในการลดปัญหา PM 2.5 ที่เป็นทิศทางเดียวกัน และร่วมมือการแก้ไขปัญหาต่อไป 

จากนั้น พล.อ.ประวิตร พร้อมคณะได้เดินทางไปเยี่ยมชม “โครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์พาร์ค”หรือ VLP มีพื้นที่ 3,000 ไร่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีท่าบกท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางด้านธุรกิจ ระหว่างไทย-ลาว-จีน โดยเฉพาะการทำอุตสาหกรรมในเขตปลอดภาษี หรือ ฟรีโซน ซึ่งจะทำให้ภาษีนำเข้าและส่งออกเหลือร้อยละ 0  จุดนี้มีการก่อสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์การค้า การลงทุน การธนาคาร ไฟแนนเชียล อุตสาหกรรมเบาในเขตฟรีโซน รวมไปถึงคลังน้ำมัน

สำหรับโครงการนี้มีนักธุรกิจ ลาว จีน และไทย ร่วมลงทุน มูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเชื่อมโยงระบบรางและโลจิสติกส์ ระหว่างไทย ลาว จีน และในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง จุดแข็งของศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งนี้ คือ นักลงทุนที่เข้ามาทำอุตสาหกรรมเบา จะมาทำสินค้าเกษตรแปรรูป หรือบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี คือ ภาษีนำเข้าและส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียนเหลือร้อยละ 0 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและส่งออกถูกลง


ทั้งนี้โครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์พาร์ค จะใช้เวลาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอาคารสถานที่ ภายในระยะเวลา 1 ปี จึงจะสามารถเปิดให้นักลงทุนเข้ามาเช่าพื้นที่ ขณะนี้มีนักธุรกิจประมาณร้อยละ 40-50 สนใจที่จะทำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้าเกษตรที่เหลือจะเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์.